วันศุกร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

บันทึก ๖๐ เรื่องน่ารู้ ในหลวงของเรา

วันที่ ๙ มิถุนายน ๒๕๔๙ เป็นอีกหนึ่งวาระสำคัญของพสกนิกรชาวไทยทั้งประเทศ เพราะเป็นวันที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช จะทรงครองสิริราชสมบัติ ครบ ๖๐ ปี...ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงครองราชย์ยาวนานที่สุดในโลก และเพื่อร่วมเฉลิมฉลองวโรกาสสำคัญยิ่งนี้ ทีมข่าวสตรีไทยรัฐ ได้ทำการรวบรวม ๖๐ เรื่องราวน่ารู้เกี่ยวกับในหลวงของเรา นำมาถ่ายทอดสู่สาธารณชน โดยครอบคลุมทั่วทุกด้าน ตั้งแต่พระราชประวัติ, พระราชกรณียกิจสำคัญๆ รวมถึงเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยส่วนพระองค์

๑) พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงเฉลิมพระ ปรมาภิไธยว่า พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศร รามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร

๒) เสด็จพระราชสมภพ เมื่อวันจันทร์ ขึ้น ๑๒ ค่ำ เดือนอ้าย ปีเถาะ จุลศักราช ๑๒๘๙ รัตนโกสินทร์ศก ๑๔๖ ตรงกับวันที่ ๕ ธันวาคม ๒๔๗๐ ณ โรงพยาบาลเมานท์ ออเบิร์น เมืองเคมบริดจ์ รัฐแมสซาชูเสตต์ ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งสมเด็จพระบรมราชชนกทรงศึกษาวิชาแพทย์อยู่

๓) ทรงเป็นพระโอรสองค์ที่สาม ทรงมีพระเชษฐภคินี ๑ พระองค์คือ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ และสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช ๑ พระองค์คือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล ทุกพระองค์ประสูติในต่างประเทศ

๔) เสด็จกลับประเทศไทยเป็นครั้งแรกพร้อมสมเด็จพระบรมราชชนก และสมเด็จพระบรมราชชนนี เมื่อพระชนม์ได้ ๑ ชันษา ในเดือนธันวาคม ๒๔๗๑

๕) ทรงสูญเสียทูลกระหม่อมพ่อตั้งแต่ พระชนม์ไม่ถึง ๒ พรรษา โดยสมเด็จพระบรมราชชนกทรงพระประชวร และเสด็จสวรรคต ในวันที่ ๒๔ กันยายน ๒๔๗๒

๖) ทรงศึกษาเล่าเรียนในต่างประเทศตลอดพระชนม์ชีพ เว้นแต่ในช่วงพระชนมพรรษา ๕ พรรษา ได้เสด็จเข้าศึกษาในโรงเรียนมาแตร์เดอี ๑ ปี ก่อนเสด็จไปประทับที่เมืองโลซานน์ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์

๗) ทรงจบการศึกษาชั้นประถมจากโรงเรียนเมียร์มองต์ เมืองโลซานน์, ชั้นมัธยมจากโรงเรียนเอกอล นูแวล เดอ ลา ซืออิส โรมองด์ เมืองแชลลี ซูร โลซานน์ ต่อมาในปี ๒๔๘๑ ทรงสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนยิมนาส คลาสสิค กังโตนาล เมืองโลซานน์ ทรงได้รับประกาศนียบัตรทางอักษรศาสตร์ จากนั้น จึงทรงเข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยโลซานน์ โดยทรงเลือกแผนกวิทยาศาสตร์

๘) เสด็จนิวัติประเทศไทยครั้งที่สอง วันที่ ๕ ธันวาคม ๒๔๘๘ ขณะมีพระชนมพรรษา ๑๘ พรรษา

๙) เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล เสด็จสวรรคต ในวันที่ ๙ มิถุนายน ๒๔๘๙ คณะรัฐบาลได้กราบบังคมทูลอัญเชิญพระองค์เสด็จขึ้นครองราชย์สืบสันตติวงศ์แทน แต่เนื่องจากยังทรงมีพระราชภารกิจด้านการศึกษา จึงเสด็จฯกลับประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เพื่อทรงศึกษาต่อด้านรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์

๑๐) ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ไทยองค์ที่สอง หลังประเทศไทยเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เป็นระบอบประชาธิปไตย โดยมีพระมหากษัตริย์เป็นองค์พระประมุข

๑๑) ทรงหมั้นกับหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร ธิดาองค์ใหญ่ของหม่อมเจ้านักขัตรมงคล กิติยากร เมื่อวันที่ ๑๙ กรกฎาคม ๒๔๙๒

๑๒) ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดพระราชพิธีราชาภิเษกสมรส ที่วังสระปทุม ในวันที่ ๒๘ เมษายน ๒๔๙๓ และมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ สถาปนา ม.ร.ว.สิริกิติ์ กิติยากร ขึ้นเป็น สมเด็จพระราชินีสิริกิติ์ และเป็น สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินี ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ในเดือนต่อมา

๑๓) พระราชพิธีบรมราชาภิเษก มีขึ้นเมื่อวันที่ ๕ พฤษภาคม ๒๔๙๓ ณ พระที่นั่งไพศาลทักษิณ ในพระบรมมหาราชวัง ได้พระราชทานพระปฐมบรมราชโองการว่า เราจะปกครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม

๑๔) ทรงมีพระราชธิดา ๓ พระองค์ และพระราชโอรส ๑ พระองค์ โดยทุกพระองค์ประสูติที่เมืองไทย ยกเว้นพระราชธิดาองค์โตคือ สมเด็จ พระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี ประสูติที่เมืองโลซานน์ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์

๑๕) ทรงพระผนวช ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในพระบรมมหาราชวัง เมื่อวันที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๔๙๙ และประทับจำพรรษา ณ พระตำหนักปั้นหยา วัดบวรนิเวศวิหาร เป็นเวลา ๑๕ วัน โดยทรงมีพระบรม ราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินี เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ และต่อมาได้โปรดเกล้าฯ สถาปนาพระอิสริยศักดิ์ขึ้นเป็นสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ

๑๖) เสด็จเยือนต่างประเทศเพื่อเจริญสัมพันธไมตรีเป็นครั้งแรกเมื่อปี ๒๕๐๒ โดยเสด็จเยือนเวียดนามเป็นประเทศแรก และเสด็จเยือนแคนาดาเป็นประเทศสุดท้าย ในปี ๒๕๑๐ รวมทั้งสิ้น ๓๑ ครั้ง ๒๘ ประเทศ และนับแต่นั้นมามิได้เสด็จออกนอกพระราชอาณาจักรอีกเลย

๑๗) การเสด็จเยือนต่างประเทศอย่างเป็นทางการยาวนานที่สุดกินเวลา ๗ เดือนเต็ม มีขึ้นเมื่อปี ๒๕๐๓ โดยเสด็จเยือน ๑๔ ประเทศในภูมิภาคยุโรป และอเมริกา

๑๘) จตุรัสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ตั้งอยู่ที่เมืองเคมบริดจ์ รัฐแมสซาชูเสตต์ สร้างขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติ และสะท้อนความภาคภูมิใจของชาวเมืองเคมบริดจ์ ในฐานะที่เป็นเมืองเดียวของสหรัฐอเมริกาที่เคยมีพระมหากษัตริย์เสด็จพระราชสมภพ .

๑๙) ทรงขึ้นชื่อว่าเป็นอัครศิลปิน เพราะทรงเปี่ยมด้วยพระอัฉริยภาพหลายด้าน โดยทรงศึกษาด้วยพระองค์เองจากตำราต่างๆ ในด้านจิตรกรรม ทรงเริ่มสนพระทัยวาดภาพ เมื่อพระชนมพรรษาได้ ๑๐ พรรษา และทรงวาดภาพอย่างจริงจัง เมื่อปี ๒๕๐๒ โดยมักจะทรงใช้เวลาในตอนค่ำหลังว่างจากพระราชภารกิจ แต่นับจากปี ๒๕๑๐ เป็นต้นมา ก็มิได้ทรงเขียนภาพอีกเลย

๒๐) เมื่อปี ๒๕๒๕ ได้พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้เชิญภาพจิตรกรรมฝีพระหัตถ์ จำนวน ๔๗ ภาพ ไปจัดแสดง ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอศิลป์ ถือเป็นครั้งแรกของโลกที่พระมหากษัตริย์ ซึ่งยังทรงดำรงสิริราชสมบัติอยู่ ทรงแสดงภาพจิตรกรรมในฐานะศิลปินเดี่ยว

๒๑) ด้านประติมากรรม ทรงศึกษาค้นคว้าเทคนิควิธีการต่างๆ ทั้งงานปั้น, หล่อ และทำแม่พิมพ์ งานประติมากรรมฝีพระหัตถ์แบบลอยตัว เก็บรักษาที่ตู้บนพระตำหนักจิตรลดารโหฐาน พระราชวังดุสิต มี ๒ ชิ้นคือ รูปปั้นผู้หญิงเปลือยนั่งคุกเข่า ปั้นด้วยดินน้ำมัน และพระรูปปั้นครึ่งพระองค์ของสมเด็จพระนางเจ้าฯ

๒๒) โปรดการถ่ายรูปและถ่ายภาพยนตร์ เช่นเดียวกับสมเด็จพระ บรมราชชนนี โดยทรงเป็นนักถ่ายรูปที่มีพระปรีชาสามารถยิ่ง ทรงจัดทำห้องมืดขึ้นที่ชั้นล่างตึกทำการสถานีวิทยุ อ.ส. ภาพถ่ายฝีพระหัตถ์ส่วนใหญ่เป็นแบบฉับพลันทันเหตุการณ์ ซึ่งทรงบันทึกไว้ระหว่างเสด็จฯไปตามสถานที่ต่างๆ

๒๓) ภาพถ่ายฝีพระหัตถ์ทุกภาพ จะทรงจัดให้มีหมายเลขประจำภาพ เช่น ภาพครอบครัว, พระราชพิธี, ภาพราษฎรที่มาเฝ้า รวมถึงภูมิประเทศต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศ

๒๔) ทุกครั้งที่เสด็จฯไปยังสถานที่ใด จะทรงมีสิ่งของประจำพระองค์อยู่ ๓ สิ่งคือ แผนที่ ซึ่งทรงทำขึ้นเอง, กล้องถ่ายรูป และดินสอที่มียางลบ โดยเวลาทรงงานจะทรงใช้ยางลบเสมอ เมื่อทรงพบเห็นอะไรก็จะทรงขีดเขียนลงบนแผนที่ เช่นเดียวกับที่สมเด็จพระบรมราชชนนี ทรงกระทำมาก่อน

๒๕) ทรงเคยประดิษฐ์ของเล่นด้วยพระองค์เอง เป็นเครื่องร่อน และเรือรบจำลอง

๒๖) ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ พระองค์แรกของโลก ที่ทรงได้รับสิทธิบัตรผลงานประดิษฐ์ คิด ค้นเครื่องกลเติมอากาศที่ผิวน้ำหมุนช้าแบบทุ่นลอย หรือ กังหันน้ำชัยพัฒนา เมื่อปี ๒๕๓๖

๒๗) กีฬา โปรดของพระ องค์คือ แบดมินตัน, สกี และเรือใบ

๒๘) เมื่อปี ๒๕๐๗ ทรงต่อเรือใบที่ใช้งานได้จริงลำแรก เป็นเรือมาตรฐานสากลประเภท เอ็นเตอร์ไพรส์ คลาส พระราชทานชื่อว่า ราชปะแตน และปล่อยเป็นปฐมฤกษ์ในคูน้ำรอบสวนจิตรลดา

๒๙) ทรงต่อเรือใบพระที่นั่งด้วยพระองค์เองมาแล้วหลายลำ รวมถึงเรือชื่อ มด, ซุปเปอร์มด และไมโครมด ซึ่งจดทะเบียนระดับนานาชาติประเภท Moth Class ที่ประเทศอังกฤษ
๓๐) นอกจากจะทรงโปรดเครื่องดนตรีเป่าทุกชนิดแล้ว ยังทรงกีตาร์และเปียโนด้วย ทรงเป็นผู้นำด้านการประพันธ์เพลงสากลของเมืองไทย โดยใส่คอร์ดดนตรีแปลกใหม่และซับซ้อน ทำให้เกิดเสียงประสานที่เข้มข้น

๓๑) เครื่องดนตรีชิ้นแรกที่ทรงซื้อคือ คลาริเน็ต เมื่อพระชนมพรรษา ๑๐ พรรษา

๓๒) ทรงพระราชนิพนธ์เพลงครั้งแรก เมื่อพระชนมพรรษา ๑๘ พรรษา โดยเพลงพระราชนิพนธ์แรกคือ แสงเทียน และจนถึงขณะนี้ พระราชนิพนธ์เพลงไว้แล้ว ๔๗ เพลง

๓๓) เมื่อเดือนธันวาคม ๒๕๒๙ ทรงเริ่มใช้คอมพิวเตอร์พระราชนิพนธ์ คำร้องและโน้ตเพลงครั้งแรก

๓๔) ทรงพระราชนิพนธ์เพลงประจำมหาวิทยาลัยหลายแห่ง อาทิ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

๓๕) ทรงตั้งวงดนตรี อ.ส.วันศุกร์ ย่อมาจากชื่อพระที่นั่งอัมพรสถาน สถานที่ทรงก่อตั้งสถานีวิทยุกระจายเสียง ส่วนวันศุกร์คือ วันที่ทรงดนตรีเป็นประจำ

๓๖) ทรงมีพระปรีชาสามารถโดดเด่นด้านภาษา โดยทรงถนัดทั้งภาษาฝรั่งเศส, เยอรมัน และอังกฤษ

๓๗) นอกจากจะทรงพระราชนิพนธ์หนังสือไว้หลายเรื่อง อาทิ พระราชนิพนธ์เรื่อง พระราชกิจรายวันของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล และเรื่อง เมื่อข้าพเจ้าจากสยามมาสู่สวิตเซอร์แลนด์ ยังทรงอุทิศเวลาให้ กับพระราชนิพนธ์แปลด้วย เช่น นายอินทร์ผู้ปิดทองหลังพระ, ติโต และพระมหาชนก ซึ่งทรงพระราชนิพนธ์เป็นภาษาไทยและภาษาอังกฤษจากพระไตรปิฎก

๓๘) พระราชนิพนธ์เรื่อง พระมหาชนก เสร็จสมบูรณ์เมื่อปี ๒๕๓๑ ทรงมีพระราชประสงค์ให้จัดพิมพ์ในโอกาสพระราชพิธีฉลองปี กาญจนาภิเษก เมื่อปี ๒๕๓๙

๓๙) ทรงเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์แรกของโลก ที่ทรงขับรถยนต์ พระที่นั่งด้วยพระองค์เอง โดยเป็นระยะทางไกลจากกรุงเทพฯ ถึงจังหวัดเชียงใหม่

๔๐) เมื่อวันเสาร์ที่ ๒ กรกฎาคม ๒๕๓๑ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงครองสิริราชสมบัติยาวนานยิ่งกว่าพระมหากษัตริย์พระองค์ใดของประเทศไทย

๔๑) เสด็จฯทรงเปิดโครงการรถไฟฟ้าใต้ดิน สายเฉลิมรัชมงคลสายแรกของประเทศ และประทับรถไฟใต้ดิน เมื่อวันที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๔๗

๔๒) ทรงเป็นผู้ริเริ่มการพัฒนาเชื้อเพลิงน้ำมันจากวัสดุการเกษตร เพื่อใช้เป็นพลังงานทดแทน เช่น แก๊สโซฮอล์, ดีโซฮอล์ และน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ ต่อเนื่องเป็นเวลากว่า ๒๐ ปี

๔๓) ทรงมีสุนัขทรงเลี้ยง ๓๔ ตัว มีคุณทองแดง สุวรรณชาด เป็นสุนัขทรงโปรด ได้รับฉายาว่า สุนัขประจำรัชกาล

๔๔) ทรงช่วยเหลือประชาชนให้มีความเป็นอยู่ดีขึ้น ด้วยการสนับสนุนให้เสริมสร้างความแข็งแกร่งแก่เกษตรกร ทำให้สามารถเลี้ยงตัวเองได้อย่างยั่งยืน

๔๕) โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริโครงการแรกคือ โครงการสร้างถนนเข้าสู่หมู่บ้านห้วยมงคล ตำบลหินเหล็กไฟ อำเภอหัวหิน

๔๖) ทรงริเริ่มโครงการนาข้าวทดลอง ในบริเวณสวนจิตรลดา จากนั้นทรงริเริ่มโครงการโรงโคนม จัดตั้งเป็นโรงโคนมสวนจิตรลดา เพื่อส่งเสริมและเผยแพร่การเลี้ยงโคนมอย่างถูกวิธี

๔๗) จนถึงปัจจุบัน มีโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริแล้วเกือบ ๓ พันโครงการ มีทั้งเรื่องการศึกษา, สิ่งแวดล้อม, สาธารณสุข, สวัสดิการสังคม และชลประทาน

๔๘) โครงการหลวง เป็นโครงการที่ทรงริเริ่มขึ้น เมื่อปี ๒๕๑๒ เพื่อช่วยเหลือชาวเขาทางภาคเหนือให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น เลิกปลูกฝิ่นและหันมาปลูกพืชเศรษฐกิจแทน

๔๙) เนื่องจากทรงห่วงใยพสกนิกรที่ต้องทนทุกข์จากการอาศัยในถิ่นทุรกันดารขาดแคลนน้ำ จึงทรงริเริ่มโครงการฝนหลวง โดยทดลองปฏิบัติการในท้องฟ้าครั้งแรก ที่บริเวณวนอุทยานเขาใหญ่ เมื่อปี ๒๕๑๒

๕๐) ทรงริเริ่มโครงการเพื่อการศึกษาไว้มากมาย โดยทรงตั้งทุนภูมิพลพระราชทานทุนการศึกษาในระดับอุดมศึกษา ส่วนทุนเล่าเรียนหลวง ริเริ่มขึ้นในสมัย ร.๕ และยกเลิกไปเมื่อเปลี่ยนแปลงการปกครอง ภายหลังทรงรื้อฟื้นขึ้นใหม่ ในปี ๒๕๐๘ เพื่อส่งนักเรียนไทยไปศึกษาในต่างประเทศ นำความรู้กลับมาพัฒนาบ้านเมือง

๕๑) โรงเรียนร่มเกล้าแห่งแรกตั้งขึ้น เมื่อปี ๒๕๑๕ ณ บ้านหนองแคน อำเภอนาแก จังหวัดนครพนม

๕๒) ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งศูนย์ศึกษาการพัฒนาอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ตามภูมิภาคต่างๆ รวม ๖ แห่ง เพื่อส่งเสริมการพัฒนาชนบท

๕๓) โครงการพระดาบส เป็นโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จัดตั้งขึ้นปี ๒๕๑๙ เพื่อให้การศึกษาแก่บุคคลทั่วไป ไม่จำกัดเพศ วัย และวุฒิการศึกษา

๕๔) ในปี ๒๕๓๕ องค์การอนามัยโลก ได้ทูลเกล้าฯถวายเหรียญเทิดพระเกียรติ ในฐานะที่ทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจด้านสุขภาพอนามัยเพื่อปวงชนชาวไทยอย่างกว้างขวาง

๕๕) ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้งหน่วยรักษาพยาบาล ที่ปากทางเข้าเขตพระราชฐานเกือบทุกแห่ง โดยไม่คิดค่ารักษา

๕๖) ชาวบ้านจำนวนมากทุกข์ทรมานจากโรคฟัน จึงทรงให้จัดตั้งหน่วยทันตแพทย์เคลื่อนที่

๕๗) ทรงก่อตั้งมูลนิธิเพื่อการพัฒนาประเทศไว้หลายแห่ง รวมถึง มูลนิธิชัยพัฒนา เน้นช่วยเหลือประชาชนที่ประสบปัญหาเร่งด่วน ซึ่งทางราชการไม่สามารถดำเนินการพัฒนาได้ทันที

๕๘) โครงการแก้มลิง เป็นโครงการที่ทรงคิดค้นเพื่อระบายน้ำท่วมขัง และกักน้ำไว้ใช้ในยามแห้งแล้ง

๕๙) ในช่วงที่เกิดวิกฤตการณ์เศรษฐกิจ ทรงพระราชทานปรัชญาสำคัญแก่ประชาชนชาวไทย นั่นคือ เศรษฐกิจพอเพียง เป็นแนวทางการดำรงชีพอย่างพอเพียง โดยยึดหลักทางสายกลาง

๖๐) ล่าสุด ทางสหประชาชาติ นำโดย โคฟี อันนัน ได้ทูลเกล้าฯ ถวายรางวัล ความสำเร็จสูงสุดด้านการพัฒนามนุษย์ แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์แรกของโลก ที่ยูเอ็นยกย่องว่าทรงเป็นพระมหากษัตริย์นักพัฒนา ซึ่งทรงริเริ่มปรัชญาสำคัญๆไว้มากมาย โดยเฉพาะเศรษฐกิจพอเพียง ได้รับการชื่นชมไปทั่วโลก และมีหลายประเทศนำไปใช้เป็นแบบอย่างในการพัฒนา

วันอาทิตย์ที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

30 เรื่องน่ารู้ของแมลง

30 เรื่องน่ารู้ของแมลง (รู้แล้วจะอึ้ง!!)
- ระยะไข่ของแมลงที่ยาวนานที่สุด: 9เดือนครึ่ง ในไข่ของด้วงหนวดยาว Saperda carcharia
- วางไข่ได้มากที่สุด: นางพญาปลวก Macrotermes จำนวน 40,000ฟอง/วัน
- ตัวอ่อนของแมลงวันอีฟายริด อาศัยในน้ำพุร้อน ซึ่งมีอุณหภูมิสูงถึง 60 องศาเซลเซียส
- หมัดหิมะยังคงอยู่ในสภาพปกติ ที่อุณหภูมิ -15 องศาเซลเซียส
- ตัวอ่อนของริ้น Polypedilum สามารถดำรงชีวิตอยู่รอดโดยปราศจากน้ำเป็นปี และอยู่ได้ 3 วันในไนโตรเจนเหลว -196 องศาเซลเซียส
- ผีเสื้อพระจันทร์อินเดีย สามารถรับกลิ่นฟีโรโมนของคู่ผสมพันธุ์จากระยะทางไกล มากกว่า 11 กิโลเมตร
- วงชีวิตยาวนานที่สุดจักจั่นบางชนิด 17 ปี
- ตัวอ่อนมีอายุยาวนานที่สุด : - ตัวอ่อนของด้วงเจาะไม้ มีอายุยาวนาน 45 ปี
- วงชีวิตส้นที่สุด : แมลงวันมีวงชีวิตสั้นที่สุดครบสมบูรณ์ในวลา 17 วัน
- ขายาวที่สุดคือ ตั๊กแตนกิ่งไม้ยักษ์ 51 เซนติเมตร
- หนวดยาวที่สุด ด้วงหนวดยาวนิวกินี 20 เซนติเมตร
- กระโดดไกลที่สุด : ตั๊กแตนทะเลทราย 50 เซนติเมตร ซึ่งเป็นระยะ 10 เท่าของความยาวลำตัว
- รังลึกที่สุด รังปลวกทะเลทรายอยู่ลึกจากพื้นดิน 40 เมตร
- รังใหญ่ที่สุด รังปลวกออสเตรเลีย สูง 7 เมตร และมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 31 เมตร
- รังสูงที่สุด รังปลวกแอฟริกันสูง 12.8 เมตร
- พลเมืองประมาณ 40,000 คน เสียชีวิตจากสาเหตุของการถูกต่อและผึ้งต่อย
- เป็นพาหะนำโรคมากที่สุด : แมลงวันบ้านนำเชื้อโรคและปรสิตต่างๆ มากกว่า 30 ขนิด
- ฝูงตั๊กแตนสามารถกินพืชผลถึง 20,000 ตัน/วัน
- ในศตวรรษที่ 14 หมัดหนูเป็นพาหะนำโรคกาฬโรค ซึ่งทำให้คนตายถึง 20ล้าน คน
- แมลงปอยักษ์ก่อนยุคประวัติศาสตร์ บินได้อย่างต่ำ 69 กิโลเมตร
- แมลงมีชีวิตที่บินเร็วที่สุด ผีเสื้อเหยี่ยว ความเร็ว 53.6 กิโลเมตร/ชั่วโมง
- กระพือปีกช้าที่สุด ผีเสื้อหางดิ่ง 300ครั้ง/นาที
- กระพือปีกเร็วที่สุด ริ้น Forcipomyia เร็ว 62,760 ครั้ง/นาที
- อพยพไกลที่สุด พีเสื้อเพ้นท์เลดี้ 6,436 กิโลเมตร จากอเมริกาเหนือถึงไอซ์แลนด์
- จำนวนมากที่สุด แมลงหางดีด ประมาณ 50,000 ตัว ต่อพื้นที่ทุ่งหญ้า 1 ตารางเมตร
- แมลงเล็กที่สุด ต่อมายมาริด ยาว 0.17 มิลลิเมตร
- แมลงใหญ่ที่สุด ด้วงไกโลแอธ ยาว 110 มิลลิเมตร หนัก 100 กรัม
- ปีกยาวที่สุด ผีเสื้อกลางคืน เฮอร์คิวลิสออสเตรเลีย กว้าง 28 เซนติเมตร
- เสียงดังที่สุด จักจั่น มนุษย์สามารถได้ยินเสียงของมันในระยะห่าง 400 เมตร
- ทำให้เสียชีวิตมากที่สุด มากกว่าครึ่งหนึ่งของการตายของพลเมืองหลังจากยุคหินเป็นสาเหตุมาจากมาลาเรีย ซึ่ง "ยุง" เป็นพาหะนำโรค


ที่มา..หนังสือชุดแหล่งความรู้คู่กาย แมลง

เรื่อง เรื่องน่ารู้รอบตัว

1.ไข่ขาวสามารถใช้รักษาแผลน้ำร้อนลวกได้ จริงหรือ

เฉลย
จริง โดยใช้ไข่ขาว มาทาที่น้ำร้อนลวกให้ทั่วทิ้งไว้จนแห้ง ไปเอง แล้วรอสักพักใหญ่ๆ จึงล้างออกจะไม่มีรอยแดง หรือพองเลย ข้อสำคัญ ก่อนทาไข่ขาวอย่าให้ถูกน้ำเย็นหรือของอื่นเลย และอย่าไปแกะ หรือเกาตอนที่ใกล้จะแห้ง เพราะจะทำให้หนังถลอก

2.ยาหม่องสามารถใช้ขจัดหมากฝรั่งเปื้อนผ้าได้ จริงหรือ

เฉลย
จริง โดยการใช้ยาหม่องถูตรงยางเหนียวๆ ของหมากฝรั่งไปมา ไม่นานยางของหมากฝรั่งก็จะหลุดออกหมด แล้วจึงนำผ้าไปซักตามปกติ

3.ใส่หลอดในขวดซอสมะเขือเทศจะทำให้เทออกง่าย จริงหรือ

เฉลย
จริง โดยการใส่หลอดลงไปให้ลึกถึงก้นขวด เพื่อให้อากาศสามารถแทรกผ่าน เข้าไปในขวดได้ แล้วเทซอสมะเขือเทศ ก็จะไหลออกมาง่ายขึ้น

4.ถุงน่องแช่น้ำเกลือช่วยให้ถุงน่องไม่ขาดง่าย จริงหรือ

เฉลย
จริง โดยการนำเกลือ 2 ถ้วยผสมกับน้ำ 1 แกลอน แช่ถุงน่องใหม่ไว้นาน 3 ชั่วโมง แล้วล้างด้วยน้ำเย็น ยกถุงน่องขึ้น มาตากให้น้ำหยดจนแห้ง ก็จะทำให้ถุงน่องคงสภาพ และเหนียวทนนาน

5.มันฝรั่งกำจัดกลิ่นปลาร้าติดมือได้ จริงหรือ

เฉลย
ไม่จริง แต่มันฝรั่งสามารถกำจัดกลิ่นหัวหอมติดมือได้ โดยการนำมันฝรั่งที่ปอกแล้ว มาถูมือที่มีกลิ่นหัวหอมติดอยู่ กลิ่นหัวหอมก็จะค่อยๆ จางหายไป

6.พริกแห้งใช้ไล่แมลงวันได้ จริงหรือ

เฉลย
จริง เวลาตากของแห้งไว้ จะมีแมลงวันมาตอม ให้เอาพริกแห้ง 5 - 6 เม็ด เสียบไว้รอบกระด้ง ไอร้อนของพริก จะทำให้แมลงวันไม่กล้าเข้าใกล้

7.เบียร์ช่วยคลายเกลียวขึ้นสนิมได้

เฉลย
จริง ให้รินเบียร์ลงไปบนเกลียวขึ้นสนิมนิดหน่อย รอ 2-3 นาที ความเป็นกรดของเบียร์ จะช่วยขจัดสิ่งสกปรก และเศษสนิม ทำให้เกลียวหมุนเปิดได้ง่ายขึ้น

8.เอาผ้าไหมแช่ช่องแข็งจะทำให้รีดง่าย จริงหรือ

เฉลย
จริง การรีดผ้าไหม ควรใช้ไฟอ่อนๆ เพราะผ้าไหมจะไหม้เกลียม หรือเป็นสีเหลืองได้ง่าย แต่ถ้าผ้าไหมยับมาก ก่อนรีดควรฉีดพรมน้ำยาให้ทั่ว แล้วพับใส่ถุงพลาสติก นำไปแช่ในช่องแข็งของตู้เย็น ประมาณ 10 -15 นาที แล้วจึงนำออกมารีด จะทำให้รีดผ้าไหมได้ง่าย และเรียบยิ่งขึ้น

9.นำเหรียญสลึงใส่แจกันช่วยให้ดอกไม้ไม่เหี่ยวเฉาได้ จริงหรือ

เฉลย
จริง โดยให้หย่อนเหรียญสลึงลงไปในแจกัน ส่วนผสมที่เป็นทองแดงในเหรียญ จะช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งเป็นสาเหตุให้ดอกไม้เหี่ยวเฉา

10.ใบฝรั่งช่วยดูดกลิ่นได้ จริงหรือ

เฉลย
จริง โดยให้นำใบฝรั่งมาตำให้ละเอียดคั้นเอาแต่น้ำ แยกกากใบออก น้ำมันหอมระเหยที่ได้ จะทำหน้าที่ดับกลิ่น ส่วนกากใบที่ได้ให้นำไปวางไว้ตามจุดต่างๆ เพื่อช่วยดูดกลิ่นได้

วันเสาร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

สิ่งที่ทำให้รักยาวนาน



วันนี้ก็ตรงกับวันเสาร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ ซึ่งถือว่าเป็นวันวาเลนไทน์หรือวันแห่งความรัก เดลินิวส์ออนไลน์จึงนำเกร็ดความรู้เล็กๆ น้อยๆ สำหรับคู่รักมาบอกกัน...

1.เป็นตัวของตัวเองและยอมรับในสิ่งที่เขาเป็น

อย่าพยายามเปลี่ยนคนรักของคุณให้เป็นในสิ่งที่เขาไม่ได้เป็น คนรักของคุณอาจจะไม่ได้สวยเหมือนนางงาม หรือหล่อเหมือนนายแบบ ขอให้รักในสิ่งที่คนรักของคุณเป็น ยังมีอีกหลายสิ่งอีกมากมายในตัวคนรักของคุณ ซึ่งมากกว่าสิ่งภายนอกที่ตาของคุณมองเห็น

2. มีอะไรต้องพูดกัน

สำหรับคุณผู้ชาย อาจจะไม่เข้าใจว่าทำไมต้องพูดต้องเล่าทุกสิ่งทุกอย่าง ซึ่งบางทีคุณคิดว่ามันไร้สาระ ซึ่งต่างจากผู้หญิง อย่ามัวนั่งเดาความรู้สึกของอีกฝ่าย แต่ให้เรียนรู้ที่จะพูดและแสดงออกว่าคุณรู้สึกอย่างไร เพื่อที่จะทำให้อีกฝ่ายเข้าใจว่าคุณกำลังรู้สึกอะไร ต้องการอะไร ทำไมคุณถึงอารมณ์ไม่ดี หรือแม้แต่วันนี้ที่คุณอารมณ์ดี เป็นเพราะอะไร เมื่อคุณไม่ต้องการหรือหยุดที่จะถ่ายทอด บอกเล่าความรู้สึกของคุณให้กับอีกฝ่ายได้รับฟัง นั่นเป็นจุดเริ่มต้นของการสิ้นสุดของความรัก

3.หากิจกรรมทำร่วมกัน

หากิจกรรมอะไรก็ตามที่ทั้งคู่ สามารถทำด้วยกันแล้วมีความสุขกระทำร่วมกัน คุณอาจจะนั่งดูทีวี หรือไปเดินเล่นจูงมือกันในห้างสรรพสินค้า สวนสาธารณะ ตามแต่รสนิยมของคุณทั้งคู่ แล้วก็ต้องรู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา หรือเรียกว่าเอาใจใส่ซึ่งกันและกัน โดยคุณผู้หญิงนานๆ ที ก็ลองนั่งดูรายการฟุตบอลรายการโปรดของคนรักของคุณเปลี่ยนบรรยากาศ ส่วนคุณผู้ชายก็อาจจะลองไปเดินช็อบปิ้งเป็นเพื่อนคนรักของคุณดูสักครั้ง แทนที่จะไล่ให้คนรักของคุณไปช็อบปิ้งกับเพื่อน อาจจะทำให้ทั้งคู่เข้าใจอารมณ์ของกันและกันมากยิ่งขึ้น การที่คุณใช้เวลากับเพื่อนของคุณมากกว่ากับคนรักของคุณ อาจจะเป็นสัญญาณอันตรายบ่งบอกว่า ความสัมพันธ์ของคุณกำลังสั่นคลอน

4.พบกันคนละครึ่งทาง

ถ้าหากคนรักของคุณกล้าที่จะโยนเสื้อตัวโปรด ขาดๆ เก่าๆ แต่คุณไม่ชอบของเขาทิ้ง คุณก็ไม่ควรจะโกรธ ถ้าเขาขอร้องให้คุณเก็บกวาดห้องให้เรียบร้อย ความสัมพันธ์ที่สมดุลและแนบแน่น ต้องประกอบไปด้วยการให้และการรับ เพราะฉะนั้นจงเรียนรู้ที่จะพบกันคนละครึ่งทาง

5.แสดงความรักของคุณให้เขารู้

ลองซื้อดอกไม้ ขนม หรือน้ำหอม ให้กับคนที่คุณรักอย่างสม่ำเสมอ แม้ว่าคุณจะคบกันมา 5 ปีแล้วก็ตาม จะทำให้คุณรู้สึกดีที่ได้แสดงความรักแก่คนที่คุณรักอย่างสม่ำเสมอ นี่เป็นการบริหารความสัมพันธ์ของคู่ของคุณ แม้ว่าจะคบกันมานาน หัดเอาใจใส่ในสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ของคนที่คุณรักและแสดงให้เขาเห็นว่า คุณใส่ใจ อาจจะเป็นเรื่องอาการไม่สบาย ขนมที่เขาชอบ หรือสีโปรดของเขา สิ่งเหล่านี้ เรารับรองว่าถ้าคุณลองทำ ความรักของคุณจะชุ่มชื่นจนใครๆ อิจฉา

6.ให้เกียรติซึ่งกันและกัน

หยุดล้อเล่นและหัวเราะเยาะปมด้อย หรือข้อบกพร่องในตัวเขา หากเป็นเป็นสิ่งที่คุณเคยชินที่จะทำ ลองไตร่ตรองดูว่า เขาหรือเธออาจไม่คิดว่าเป็นเรื่องตลกด้วยก็ได้ ถ้าหากว่าเขามีปมด้อย ตรงความเตี้ยของเขา คุณก็ควรจะหยุดเปรยชมคนตัวสูงๆ ที่บังเอิญเดินผ่านเข้ามา เพราะว่านั่นเป็นการทำลายความมั่นใจและความรู้สึกของเขาโดยตรง ความรักเป็นเรื่องของการให้เกียรติซึ่งกันและกัน และแคร์ความรู้สึกของกันและกันตลอดเวลา
7.ลืมความหลังเก่าเสีย หยุดพูดถึงเรื่องเก่าๆ

ไม่มีใครหรอกที่อยากจะพูดถึง และนึกถึงเรื่องที่เศร้าหรือเรื่องผิดพลาดในอดีตของตัวเอง รู้จักให้อภัยและเลิกขุดคุ้ยข้อผิดพลาดของกันและกัน ให้อดีตเป็นเพียงสิ่งที่ผ่านไป สิ่งที่สำคัญที่สุดคือปัจจุบันมากกว่า

8.เลิกนิสัยขี้อิจฉาของคุณ

เราพนันได้เลยว่า ทุกคนมีความรู้สึกไม่ปลอดภัย และระแวงในช่วงต้นของความสัมพันธ์ แต่อย่าเปลี่ยนความรู้สึกไม่ปลอดภัยและระแวงมาเป็นความอิจฉา วิธีทดสอบว่าคุณเริ่มอิจฉาก็คือ คุณเริ่มที่จะตรวจสอบกระเป๋าสตางค์หรือของส่วนตัวของเขา นั่นแหละคุณกำลังระแวงเขาอยู่ ความอิจฉา หรือความขี้หึงก็เหมือนกับยาพิษที่ค่อยๆ ทำลายความรักและความสัมพันธ์ของคุณไปทีละเล็กทีละน้อยโดยที่คุณไม่รู้ตัว เพราะฉะนั้นจงเชื่อมั่นในตัวคนรักของคุณ ความรักจะต้องมีความมั่นใจเป็นพื้นฐาน

9.ฝึกเป็นคนรักษาคำพูด

ถ้าคุณเป็นคนชอบผิดนัดและผิดสัญญา ถึงเวลาแล้วที่คุณจะต้องจับเข่าคุยกันให้รู้เรื่อง หากคุณคิดว่าจะคุณจะมีคนรัก คุณก็ควรจะให้ความสำคัญแก่คนรักของคุณ และพยายามอย่าทำให้เขาผิดหวัง ถ้าหากเป็นเรื่องที่ไม่สุดวิสัยจริงๆ เพราะจะทำให้เขารู้สึกแย่เมื่อคนรักของคุณต้องรอคุณทานข้าว แล้วคุณไม่มา ถ้าหากคุณไม่สามารถทำตามสัญญา ก็อย่าสัญญา เพราะว่าเมื่อไรก็ตามที่คนรักของคุณเริ่มที่จะรู้สึกว่า เขาไม่มีความสำคัญต่อคุณสักเท่าไหร่ นั่นอาจเป็นสัญญาณว่าคุณได้สูญเสียเขาคนนั้นไปแล้วก็ได้

10.จงซื่อสัตย์ต่อตนเองและคนรักของคุณ

ความซื่อสัตย์ที่เราหมายถึง คือ การอธิบายความรู้สึกของคุณอย่างตรงไปตรงมาแก่คนรัก อย่าปิดบังความรู้สึก ถ้าคุณรู้สึกว่าเขาทำให้คุณรู้สึกเจ็บปวด หรือโกรธเคือง จงบอกเขา อย่างไม่ต้องอาย ถ้าหากคุณไม่สามารถที่จะรักษาความซื่อสัตย์ต่อคนที่คุณรักได้แล้ว ใครที่คุณจะรักษาความซื่อสัตย์ด้วยได้ ความรักคือการให้ความซื่อสัตย์ซึ่งกันและกัน ในทางตรงกันข้ามความสัมพันธ์ที่ไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของความซื่อสัตย์ ก็อาจจะไม่ควรค่ากับความสัมพันธ์ที่คุณได้ทุ่มเทไป

สุดท้ายนี้ วันวาเลนไทน์ปีนี้ ก็ขออวยพรให้คู่รักทุกคู่มีความสุขและรักกันไปนานๆ

วันอาทิตย์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

ทายนิสัยจากฤดูที่ชอบ



ชอบฤดูฝน

แสดงว่าเป็นคนชอบเพ้อช่างฝัน มักจะคิดถึงความรู้สึกของตัวเองมากเกินไป มีโลกส่วนตัวสูง ต่อมโรแมนติกทำงานไม่ได้หยุดได้หย่อน คุณจึงมักจะเป็นคนเหงา เศร้าง่าย จริงๆ แค่ฝนตกคุณก็พร้อมจะไปนั่งริมหน้าต่าง ดูเม็ดฝนที่โปรยปรายลงมา และคิดเรื่อยเปื่อยจนต่อมน้ำตาแตก มักจะทำงานตามอารมณ์ของตัวเอง ประมาณว่าถ้าไม่มีอารมณ์ก็ไม่ทำ คุณจึงไม่ใช่คนที่มีความกระตือรือร้นสูง แต่ก็มีความละเอียดอ่อนอยู่ในจิตใจ และสามารถเข้าใจผู้อื่นได้ดี

ชอบฤดูหนาว

แสดงว่าเป็นคนที่มีความมั่นใจในตัวเองสูงซะเหลือเกิน ถึงแม้ในบางคนจะขัดกับบุคลิกที่ออกจะหวาน ๆ ไม่ห้าวนักก็ตาม เป็นคนจิตใจมั่นคง มีพลังและเข้มแข็ง กล้าเผชิญหน้ากับการเปลี่ยนแปลงในทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการทำงานหรือชีวิตความเป็นอยู่ แต่ในบางครั้ง คนที่มั่นใจในตัวเองสูงอย่างคุณก็มีอารมณ์และความรู้สึกที่อ่อนไหวง่ายได้เหมือนกัน เวลาที่อยู่คนเดียว

ชอบฤดูร้อน

แสดงว่าเป็นคนรักอิสระ เกลียดการอยู่ในกรอบหรือต้องเดินในเส้นที่คนอื่นขีดไว้ จิตใจเบิกบาน ร่าเริง เฮฮา แต่ก็แฝงไว้ซึ่งการเอาแต่ใจตัวเอง ชอบทำตามใจตัวเอง ไม่ยอมฟังคนอื่นเลย คุณยังมีความเป็นเด็กอยู่มาก และเป็นคนประเภทสุขนิยม คือ แสวงหาความสุขและความรื่นรมย์ให้กับชีวิตมากกว่าจะคิดโน่นคิดนี่และทำให้ตัวเองเดือดเนื้อร้อนใจ แต่คุณก็เป็นคนที่มีความกระตือรือร้นไม่น้อย

ชอบฤดูใบไม้ร่วง

แสดงว่าเป็นคนเจ้าระเบียบพอสมควรทุกอย่าง จะเน้นให้อยู่ในระบบ ชอบแสวงหาความมั่นคงปลอดภัยให้กับชีวิต ดังนั้นคุณจะช่างคิด ช่างวางแผนอย่างรอบคอบและละเอียดถี่ถ้วนกว่าจะลงมืออะไรสักอย่าง ไม่ชอบความตื่นเต้นโลดโผนมากนัก มีชีวิตเรียบง่ายและมีความเป็นส่วนตัวสูง

ชอบฤดูใบไม้ผลิ

แสดงว่าเป็นคนจิตใจอ่อนโยน แต่ในเรื่องของความคิดอ่านจะตรงกันข้ามกันเลยทีเดียว คือคุณจะคิดอ่านรุนแรงและชัดเจน มีความทะเยอทะยานสูง เป็นคนรักความก้าวหน้าโดยเฉพาะ เรื่องหน้าที่ การงาน จะมุ่งมั่นมากเป็นพิเศษ คนรอบข้างมักจะไม่ค่อยเห็นคุณท้อถอยอะไรง่ายๆ แต่คุณเป็นคนเบื่อง่าย เกลียดความ เงียบเหงาจึงไม่น่าสงสัยที่คุณมักจะติดเพื่อนและรักเพื่อนมาก

ใครชอบฤดูไหนลองนำไปทายนิสัยกันได้

วิธีคิดเพื่อชีวิตเป็นบวก



เคยไหมเครียดกับปัญหา จนรู้สึกบั่นทอนกำลังใจที่จะทำสิ่งต่าง ๆ ?

แต่!! รู้หรือไม่ การนำหลัก Positive Thinking มาใช้ ช่วยให้เราผ่านพ้นสถานการณ์ที่คิดว่าย่ำแย่ไปได้ เพราะความมหัศจรรย์ของการคิดบวก นอกจากจะช่วยให้ไม่กดดันตัวเองแล้ว ยังเป็นการสร้างกำลังใจให้พร้อมลุยกับปัญหาได้อย่างมั่นใจ ‘เกร็ดน่ารู้’ สัปดาห์นี้

มีวิธีคิดบวก เพื่อชีวิตที่เป็นบวกมาฝากกัน

1.สร้างความเชื่อมั่น ว่า ‘เราต้องทำได้’ ไม่ว่าจะเจอปัญหาใด ๆ ให้มองด้านบวกไว้ แม้จะคิดว่าจัดการไม่ได้ทั้งหมด แต่เชื่อเถอะว่าคุณสามารถทำให้สถานการณ์ดีขึ้นได้ หลักสำคัญคือการตั้งสติศึกษาปัญหา แล้วค่อย ๆ แก้ไข ขอเพียงหลีกเลี่ยงความคิดที่ว่า ‘ฉันทำไม่ได้แน่ ๆ’

2.สร้างจินตนาการ ช่วยให้เกิดแรงบันดาลใจที่จะต่อสู้กับอุปสรรค และอยากทำกิจกรรมอื่น ๆ ต่อไป รวมไปถึงการมีทัศนคติที่ดีต่อตนเองและผู้อื่น มองทุกอย่างด้วยความเป็นกลาง เพื่อชีวิตที่สมดุล

3.คิดถึงความสำเร็จ แม้ทางไปสู่จุดหมายจะพบอุปสรรคบ้างก็ถือเป็นเรื่องธรรมดา ที่สำคัญไม่ควรมองตัวเองว่าไม่มีความสามารถ และ ‘อย่านำตัวเองไปเปรียบกับใคร’ เพราะเราไม่ใช่ใคร และใครก็ไม่ใช่เรา แต่ละคนมีทักษะต่างกัน แค่ตั้งใจทำให้ดีที่สุดก็พอแล้ว

4.คิดมีเหตุผล เมื่อเกิดข้อผิดพลาดในเรื่องต่าง ๆ อย่าโทษตัวเองทุกเรื่อง และอย่าคิดว่าครั้งต่อ ๆ ไปก็จะผิดพลาดตลอด ควรใช้หลักการคิดอย่างมีเหตุผล เพราะหลายคนมักประเมินมาตรฐานตนเองต่ำเกินไป จึงยิ่งบั่นทอนความมั่นใจให้ลดน้อยลง

แนวทาง ‘คิดบวก’ เพียงเท่านี้ นอกจากจะช่วยโบกมือบ๊าย บาย อุปสรรคทางความคิด ‘กลัว’ แล้ว ยังเป็นการเพิ่มคุณค่าให้ชีวิตเป็นบวกได้ง่าย ๆ ด้วย.

วันศุกร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

ความรักไม่มี ผิด ถูก?



เค้าว่าเรื่อง "ความรัก" ไม่มีคำว่าถูกและผิด

คุณไม่ผิดที่ไปรักเค้าคนนั้น

และเค้าเองก้อคงไม่ผิดที่ไม่ได้รักคุณ

ในทางตรงข้าม คุณไม่ผิดที่ไม่ได้รักเค้าคนนั้น

และเค้าก้อไม่ผิดที่มารักคุณเช่นกัน

.........การห้ามใจไม่ให้รักนั้นยากนัก

แต่คงเทียบไม่ได้กับการห้ามใจให้ลืมรักเพราะย่อมยากกว่า

คุณอาจทำได้เมื่อมีใครอีกคนก้าวเข้ามาในชีวิตคุณ แต่มันคงไม่ง่าย

ถ้าคุณต้องหักใจให้ลืมในขณะที่คุณอยู่คนเดียว

..........เค้าว่าการชนะใจตัวเองนั้นอาจดีและมีค่าที่สุด

แต่ในเรื่องความรัก การชนะใจคนที่เรารักนั้นอาจย่อมมีค่ากว่า

แต่มันอาจมีค่ากว่านั้น

ถ้าคุณสามารถชนะใจตัวเองที่จะปฏิเสธกับความรักที่ย้อนมาหาคุณ

และมันอาจมีค่าที่สุด

ถ้าคุณยอมที่จะ "แพ้" ใจตัวเองเพื่อจะกลับไปหาความรักนั้น

...........ความรักเป็นเรื่องของคนสองคน

แต่อย่าลืมว่าบนโลกไม่ได้มีแค่เค้าทั้งคู่อย่าโกรธเค้าที่ต้องปฏิเสธรักจากคุณ

ด้วยเหตุผลว่าเราเข้ากันไม่ได้

ด้วยเหุผลว่าสังคมเราต่างกัน

ด้วยเหตุผลว่าเค้ายังรักคุณอยู่

ด้วยเหตุผลว่าเค้ารักคนอื่นที่มีค่าพอกับคุณ

...วิทยาศาสตร์อาจต้องการเหตุผล

แต่เรื่องความรักย่อมไม่ต้องการเหตุผลใดใด

คนดีอาจรักกับคนเลว

จงอย่าโทษเค้าว่าเค้ารักคนผิด

จงอย่าโทษเค้าว่าเค้ารักคนที่ไม่เอาไหน

และจงอย่าโทษตัวเองว่าเรารักคนที่ไม่ดี

เพราะสิ่งที่คุณทำนั้นถูกต้องแล้ว จงเชื่อในสายตาของตัวเอง

จงเชื่อประตูหัวใจอันมีค่าที่เลือกจะเปิดรับเค้าคนนั้น

............แม้ใครจะพูดว่าคู่ของเราเป็นคนไม่ดี

แต่ในแง่ของความรัก คุณทั้งสองเป็นคนดีของกันและกัน

อย่าโกรธเค้าที่บางครั้งเค้ายอมเป็นคนตาบอด

อย่าโกรธเค้าที่บางครั้งเค้ายอมเป็นคนหูหนวก

บางครั้งการไม่เห็นและไม่ได้ยิน

เพื่อรักษาและถนอมความรักเอาไว้

ก็อาจเป็นสิ่งที่ดีที่สุด

.............นิยามความรักแต่ละคนย่อมต่างกัน

ไม่แปลกที่บางคู่อาจทะเลาะกันทั้งวัน

ไม่แปลกที่บางคู่อาจหวานให้แก่กันได้ทั้งวัน

และไม่แปลกที่บางคู่ต่างเฉยชาต่อกัน

และก้อคงไม่แปลกเลยที่บางคู่อาจต่างกันราวฟ้ากับดิน

เพราะบางครั้งความรักคือ การเติมเต็ม

แต่บางครั้งความรักอาจคือ

การเสียสละและการแบ่งปัน

บางครั้งความรักอาจเป็น การดูแลและปกป้อง

อย่าไปคิดว่าทำไมคู่เราถึงไม่เหมือนคู่ของใครเค้า

อย่าไปคิดว่าคู่เราแปลกหรือเปล่า

อย่าไปสนใจว่าเราควรเปลี่ยนแปลงอะไรมั๊ย

ถ้าจะเปลี่ยน ขอให้เพื่อรักมิใช่เพื่อเลิกรัก

4 วิธีลดเครียดก่อนนอน



4 วิธีลดเครียดก่อนนอน (ชีวจิต)

หากเทคนิคมากมายที่คุณนำมาใช้ไม่สามารถลดความตึงเครียดก่อนนอนลงได้ ลองนำเทคนิคเหล่านี้ไปใช้ดู รับรองว่าจะทำให้คุณหลับสนิทได้ภายใน 5 นาที

1. ผ่อนลมหายใจ โดยเริ่มจากหายใจเข้าทางจมูก นับ 1-5 ในใจ จากนั้นปล่อยลมหายใจออกทางปากช้าๆ ในระหว่างนั้นนับ 1-10 ในใจ จะรู้ว่าร่างกายเราผ่อนคลายลงทันทีและนอนหลับอย่างสงบ

2. จิบน้ำผึ้งสักครึ่งช้อนชา เพียงห้านาที หลังจากนั้นน้ำผึ้งจะไปกระตุ้นให้สมองหลั่งสารซีโรโทซึ่งส่งผลให้เรารู้สึกผ่อนคลาย

3. ทำมือให้อุ่น เมื่อเราเครียดมือมักจะเย็น การทำมือให้อุ่นจะสามารถลดความตึงเครียดลงได้ ก่อนนอนควรเอามือแช่ในน้ำอุ่นสักครู่ จะทำให้คุณนอนหลับได้ง่ายและสบายขึ้น

4. นวดเท้าคลายเครียด กดเบาๆ บริเวณรอยต่อของกระดูกนิ้วเท้าข้อที่ 1 และข้อที่ 2 สิบครั้ง

หากนอนไม่หลับ ก่อนปิดไฟนอนทุกคืนลองเอาเทคนิคเหล่านี้ไปใช้ดูนะ

วันเสาร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2552

ความรัก กับ รองเท้า

รองเท้าแตะส่วนมากขายตามร้านทั่วไป ดังนั้นเวลาเราไปเห็นก็ไม่เคยจะนึกสนใจ มีคนเสนอขายให้ราคาถูกๆ ก็ไม่เคยคิดจะซื้อ แต่พอจำเป็นเข้าจริงๆ ก็ต้องไปซื้อมาแก้ขัดก่อนอยู่ดี รองเท้าบางคู่สบายใหม่ๆ อาจรู้สึกสบาย แต่ถ้าใส่นานๆ เข้า อาจจะรู้สึกว่ารองเท้าคู่นี้ไม่เหมาะกับเรา อยากจะถอดทิ้งเสียเหลือเกิน รองเท้าบางคู่ลองใส่ที่ร้านแล้วรู้สึกแปลกๆ อาจมีบ้างที่คับไป หรือ หลวมไป แต่ใครจะรู้ว่าบางทีพอใส่ไปซักพัก หนังอาจจะขยายพอดีกับเท้าของเรา จนรู้สึกว่าดีเหลือเกินที่ตอนนั้นตัดสินใจเลือกคู่นี้ รองเท้าบางคู่ ดูภายนอกอาจตลก แต่รู้มั๊ยว่าบางทีเมื่อมันมาอยู่คู่กับเท้าของเรา อาจจะทำให้ทั้งเท้าของเราและรองเท้าดูดีผิดหูผิดตาไป ส่วนรองเท้าคู่ไหนที่เห็นคนอื่นใส่แล้วดูดี ก็ไม่แน่เสมอไปว่ามาอยู่กับเราแล้วจะดีเหมือนอยู่กับคนอื่น ... ....เคยเจอมั๊ย...ใครที่มีรองเท้ามากมายเกินความจำเป็น เขาเหล่านั้นก็คงจะไม่รู้ว่าคู่ไหนเป็นคู่โปรด ตราบเมื่อเค้าได้เสียรองเท้าคู่นั้นไป ซึ่งมันก็อาจจะสายไปเสียแล้วที่จะทวงคืน แล้วรองเท้าตามโรงแรมล่ะ รองเท้าสาธารณะเหล่านั้นที่ได้ผ่านเท้าของผู้คนมามากมาย บางคู่อาจยังใหม่ บางคู่อาจดูโทรม ส่วนบางคู่อาจจะนำพาโรคมาสู่ผู้ที่ใส่ แต่รองเท้าสาธารณะเหล่านี้ มีความเหมือนกันอยู่อย่างนึงคือ ยากมากจนเรียกว่าแทบจะไม่มีเลย ที่จะมีคนมาขอซื้อเป็นเจ้าของ นอกเสียจากซื้อไว้ดูเล่น ซึ่งก็จะไม่มีทางได้สัมผัสกับ ความรัก ระหว่างเจ้าของกับรองเท้า...เฮ้อ...น่าสงสาร.... ...รองเท้าที่เหมาะกับเรา หาไม่ยาก และไม่ง่าย แต่ถ้าเดินไปแล้วเจอคู่ที่ถูกใจ อยากบอกว่า ให้รีบตัดสินใจซื้อ ก่อนที่จะถูกคนอื่นมาชิงตัดหน้าไปก่อน ซึ่งรองเท้าคู่นั้นอาจจะเป็นคู่เดียวในโลกที่เหมาะกับเรามากที่สุดก็ได้ ส่วนรองเท้าบางคู่ที่ไม่เหมาะกับเรา ใส่แล้วไม่รู้สึกสบาย ขอแนะนำว่าอย่าพยายามใส่ต่อไปอีกเลย มีแต่จะทำให้เราทรมาน เพราะในที่สุดเราก็ต้องโยนมันทิ้งไปอยู่ดี ..รองเท้าสมัยใหม่ ดูแล้วกิ๋บเก๋ แต่รองเท้าสมัยเก่าใส่แล้วก็ดูดีไปอีกแบบ จะสมัยไหนก็ช่าง ขอให้ใส่แล้วสบายที่สุด แล้วเมื่อเจอแล้วจงใส่มันอย่างถะนุถนอม จะได้อยู่กับเราไปนานเท่านาน แต่ที่แน่ๆ คุณจะไม่มีวันได้รู้หรอกว่ารองเท้าคู่ไหนเหมาะกับคุณที่สุดจะเมื่อคุณได้ลองใส่มันเท่านั้น ... ..วันนี้คุณได้เจอรองเท้าที่คุณคิดว่าเหมาะกับคุณที่สุดหรือยัง.... พยายามเสาะหาต่อไปเถอะ เราเชื่อว่าซักวันคุณจะได้เจอรองเท้าคู่ที่ดีที่สุดสำหรับคุณอย่างแน่นอน... ...อย่าเลยนะ...อย่าพยายามเดินเท้าเปล่าเลย เพราะบนถนนมีสิ่งที่เป็นอันตรายต่อเท้าของคุณมากมาย หารองเท้าซักคู่มาใส่ป้องกันก่อนดีกว่า แม้ว่าคู่นั้นอาจจะยังไม่ใช่คู่ที่ดีที่สุดสำหรับคุณก็ตาม

สมุนไพรและ อาหารต้านมะเร็ง

หลายคนคงเคยสงสัยที่มีการวิจัยบอกว่าพบสมุนไพรหลายชนิดที่เพิ่มภูมิคุ้มกันของร่างกาย อย่างน้ำลูกยอที่ผ่านกระบวนการสกัดด้วยน้ำร้อน สารสกัดหญ้าปักกิ่งที่ได้จากการสกัดด้วยน้ำ หรือแม้แต่สมุนไพร ตัวใหม่ที่เป็นที่นิยมกันปัญจขันธ์หรือเจียวกู่หลาน นั้น ควรจะมีการบริโภคอย่างไรจึงจะพอเหมาะพอดี เรื่องนี้ ภญ.ผกากรอง ขวัญข้าว เภสัชกร รพ.เจ้าพระยาอภัยภูเบศร เขียนไว้ใน อภัยภูเบศรสาร เดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา บอกว่า ไม่แนะนำให้รับประทานสมุนไพรเพียงชนิดเดียวเพื่อหวังให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานดีขึ้น แต่คงต้องใช้หลายๆ ตัวช่วยกัน เพราะการรับประทานสมุนไพรนอกจากได้พฤกษเคมี (phytochemical substance) แล้วเรายังได้สารอาหารที่มีประโยชน์ต่างๆ ที่จะทำให้ร่างกายแข็งแรงได้อีกทางหนึ่งด้วย ส่วนเรื่องอาหารและสมุนไพรต้านหรือลดมะเร็ง ตามที่ข้อมูลวิทยาศาสตร์วิจัยพบ อย่างมะเขือเทศต้านมะเร็งต่อมลูกหมากเพราะมีสาระสำคัญชื่อ ไลโคปีน ผักในตระกูลกะหล่ำ อย่างกะหล่ำปลี กะหล่ำดอก และบรอคโคลี มีสารซัลโฟราเฟน และพืชอื่นๆ อีกนั้น ต้องพึงระลึกไว้ว่ายังไม่มีการวิจัยในคนเลยที่บอกว่าคนที่เป็นมะเร็งหากรับประทานสมุนไพร ชนิดใดชนิดหนึ่งอย่างเดียวเป็นเวลาหลายๆปีแล้วจะลดการเกิดมะเร็งได้หรือไม่ ดังนั้น เภสัชกรผกากรองจึงแนะนำว่าให้เลือกรับประทานผักมากๆ รองลงไปเป็นข้าว โดยเฉพาะข้าวกล้อง รองลงมาเป็นผลไม้และเนื้อสัตว์ และเพิ่มสมุนไพรต้านมะเร็งเข้าไปในมื้ออาหารของคุณด้วย ก็จะช่วยให้แข็งแรงขึ้น ดีกว่ารับประทานอาหารอย่างใดอย่างหนึ่งอย่างเดียว.

ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

กินช็อกโกแลต ดื่มชาและเหล้าไวน์ ช่วยบำรุงสติ ปัญญาได้

ทีมนักวิทยาศาสตร์ของคณะสรีรวิทยา กายวิภาควิทยาและพันธุกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด กล้ารับประกันว่า กินช็อกโกแลต ดื่มชาและเหล้าไวน์ บำรุงสติปัญญาได้จริง เพราะรู้จากผลการศึกษาว่า คนที่กินและดื่มสิ่งที่เป็นอาหารเหล่านี้ จะทำคะแนนเฉลี่ยในการทดสอบได้สูงพวกเขาได้ศึกษาหาความเกี่ยวพันของสมรรถภาพทางสมองกับ การบริโภคอาหารสามัญ 3 อย่างนี้ ซึ่งล้วนแต่มีสารฟลาโวนอยด์อย่างอุดม ในหมู่ผู้สูงอายุ วัยระหว่าง 70-74 ปี จำนวน 2,031 คน โดยขอให้กรอกข้อมูลในเรื่องอาหารการกิน และจับทำการทดสอบสมรรถภาพทางสมองรวมกันหลายชุดขณะนี้นักวิทยาศาสตร์กำลังมีความสนใจ ในบทบาทของพวกสารอาหารรองที่เกี่ยวพันกับความเสื่อมทางสติปัญญากันมากขึ้น โดยเฉพาะผลไม้ และเครื่องดื่มอย่าง ชา เหล้าไวน์แดง โกโก้ และกาแฟ ซึ่งต่างเป็นแหล่งอาหารที่มีสารโพลีฟีนอลส์ อันเป็นสารอาหารรองที่มีอยู่ในอาหารที่มาจากพืช อย่างไรก็ตาม รายงานผลการศึกษาซึ่งเสนออยู่ในวารสาร “ โภชนาการ” ได้เตือนว่า ไม่ควรดื่มเหล้า ที่มีข่าวว่าช่วยส่งเสริมสติปัญญาได้ และอาจจะมีสรรพคุณลดโอกาสของการเป็นโรคสมองเสื่อม ในช่วงเทศกาลวันหยุดส่งท้ายปีเก่าขึ้นปีใหม่ หนักข้อไปนัก เพราะการดื่มมากเกินไปอาจให้โทษ เป็นสาเหตุของโรคสมองเสื่อมเสียเองหนึ่งในหลายสาเหตุได้ ทั้งยังก่อปัญหาสุขภาพอื่นๆ อีกมากมายด้วย.

ไวรัสคอมพ์นับวันยิ่งร้าย แจ้งเกิดใหม่นาทีละ10ตัว

นายคงศักดิ์ ก่อตระกูล ที่ปรึกษาด้านเทคนิค บริษัท เทรนด์ ไมโคร (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า จากรายงานสรุปภัยคุกคามข้อมูลช่วง 6 เดือนแรก และการคาดการณ์ภัยคุกคามช่วงครึ่งหลังของปี 2551 ระบุว่า อาชญากรรมไซเบอร์พยายามใช้เทคนิคใหม่ๆ เพื่อหลอกล่อผู้บริโภค เช่น การนำเสนอฟิชชิ่งในรูปแบบการเตือนให้เหยื่อระวังเกี่ยวกับอีเมล์ฟิชชิ่ง ซึ่งเป็นวิธีที่ทำให้อีเมล์ฉบับนั้นน่าเชื่อถือ โดยครึ่งปีที่ผ่านมาภัยคุกคามบนเว็บเกิดขึ้นสูงสุดในเดือนมี.ค.ซึ่งมีปริมาณการโจมตีถึง 50 ล้านครั้ง จาก 15 ล้านครั้งในเดือนธ.ค.2550นายคงศักดิ์ กล่าวว่า รูปแบบการโจมตีของไวรัสล่าสุด พบมีการพัฒนาไวรัสให้ฆ่าซอฟต์แวร์แอนตี้ไวรัสโดยเฉพาะ โดยหลอกให้โลโก้ของซอฟต์แวร์ป้องกันไวรัสยังทำงานเหมือนปกติ ทำให้เจ้าของเครื่องไม่สงสัย เรียกว่า disabled antimalware กว่าเจ้าของจะรู้ตัวเครื่องก็ติดไวรัสนับร้อยตัวจนเครื่องรวน ซึ่งข้อมูลจากปี 2550 พบไวรัสทั้งหมด 5.49 ล้านตัว เฉลี่ยพบไวรัสวันละ 1.5 หมื่นตัว หรือคิดเป็นชั่วโมงละ 600 ตัว และนาทีละ 10 ตัว ซึ่งประเทศไทยยังพบไวรัสประเภทเวิร์มและโทรจันเป็นส่วนใหญ่ดังนั้น เทรนด์ ไมโคร จึงปรับรูปแบบการตรวจจับไวรัสใหม่เป็น Smart Protection Network โดยสร้างเครือข่ายรวมขึ้นมาจากดาต้าเซ็นเตอร์ 10 ศูนย์ทั่วโลก เมื่อพบไวรัสใหม่ข้อมูลถูกส่งไปส่วนกลางเพื่อตรวจสอบที่มาและสร้างการป้องกัน พร้อมแจ้งให้ผู้ใช้ทั่วโลกทราบทันที ปัจจุบันเทรนด์ไมโครอัพเดทไวรัสทุกๆ 15 นาที และทดสอบไวรัสประมาณ 50 ล้านตัวอย่าง/ปี ตั้งเป้าจะทดสอบให้ได้ 250 ล้านตัวอย่าง/ปี

ประดิษฐ์กล้องช่วยคนตาบอดสำเร็จแล้ว

ก่อนหน้านี้มีข่าวว่า มีการคิดค้นประดิษฐ์กล้องจิ๋ว เพื่อช่วยให้คนพิการทางสายตากลับมาเห็นได้อีก บัดดนี้สำเร็จแล้วซึ่งคาดว่าผู้ที่สายตาพิการ อาจจะมีโอกาสมองเห็นได้อีกครั้งหนึ่ง โดยการใช้กล้องที่กำลังมีผู้คิดประดิษฐ์ขึ้น ....นักวิจัยเอลิสะเบธ โกลด์ริง ของสถาบันเทคโนโลยี แมสซาชูเสตต์ร่วมกับร็อบ เวบบ์ แห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด แห่งอเมริกา ได้ประดิษฐ์ "เครื่องช่วยการมอง" มีขนาดเท่ากับกระเป๋าหิ้ว ประกอบด้วยจอแอลซีดีและกล้องถ่ายภาพดิจิตอล ช่วยให้คนตาบอดมองเห็นได้ มันทำงานโดยป้อนภาพที่เห็นไปยังจอแอลซีดี อันเป็นจอที่ใช้ไดโอดเปล่งแสงสร้างความสว่างให้เกิดภาพ จอจะรวบรวมข้อมูลที่ได้รับทั้งหมดให้กลายเป็นจุดเดียว แล้วป้อนไปให้ที่ดวงตา ช่วยให้ผู้ตาบอดมองเห็นสิ่งนั้น
นักพัฒนาทั้งคู่กล่าวแจ้งว่า ในการทดลอง กล้องทำให้ผู้พิการทางสายตามองเห็นหน้าเพื่อนของตน และถึงกับถ่ายภาพได้
ตัวกล้องมีรูปร่างสี่เหลี่ยมโตประมาณ 5 นิ้ว ตั้งอยู่บนขาตั้ง เจ้าของแจ้งว่า ยังมีราคาถูกมากกว่าเครื่องส่องตรวจส่วนในของตาด้วยเลเซอร์ ซึ่งมีราคาอยู่ระหว่าง 140,000 ถึง 3,500,00 บาท

วันศุกร์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2552

ภาษารัก


ภาษาพม่า เรียกว่า จิต พา เด (chit pa de)
เขมร เรียกว่า บอง สรัน โอน (Bon sro Iahn oon)
เวียดนาม เรียกว่า ตอย ยิ่ว เอ๋ม (Toi yue em)
มาเลเซีย เรียกว่า ซายา จินตามู (Saya cintamu)
อินโดนีเซีย เรียกว่า ซายา จินตา ปาดามู (Saya cinta padamu)
ฟิลิปปินส์ เรียกว่า มาฮัล กะ ตา (Mahal ka ta)
ญี่ปุ่น เรียกว่า คิมิ โอ ไอ ชิเตรุ (Kimi o ai shiteru)
เกาหลี เรียกว่า โน รุย สะรัง เฮ (No-rui sarang hae)
เยอรมัน เรียกว่า อิคช์ ลิบ ดิกช์ (Ich Liebe Dich)
ฝรั่งเศส เรียกว่า เฌอแตม (Je t''''aime)
ฮอลแลนด์ (ดัชต์) เรียกว่า อิค เฮา ฟาวน์ เยา (Ik hou van jou)
สวีเดน เรียกว่า ย็อก แอลสการ์ เด (Jag a Lskar dig)
อิตาลี เรียกว่า ติ อโม (Ti amo)
สเปน เรียกว่า เตอ เควียโร (Te quiero)
รัสเซีย เรียกว่า ยาวาส ลุยบลิอู (Ya vas Liubliu)
โปรตุเกส เรียกว่า อโม-เท (Amo-te)
จีนกลาง เรียกว่า หว่อ อ้าย หนี่ (Wo ai ni)
จีนแคะ เรียกว่า ไหง อ้อย หงี (Ngai oi ngi)
ฮกเกี้ยน เรียกว่า อั๊ว ไอ้ ลู่ (Auo ai Lu)
ตุรกี เรียกว่า เซนี เซวีโยรัม (Seni Seviyorum)

วันอาทิตย์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2552

การเฉลิมฉลองในวันขึ้นปีใหม่ของจีนทั้ง 15 วัน

ในวันแรกของวันขึ้นปีใหม่ตามจันทรคติ คือวันแห่งการต้อนรับเทพเจ้าแห่งสวรรค์และ โลกมนุษย์ ในวันแรกนี้คนส่วนใหญ่ จะละเว้นจากการรับประทานเนื้อสัตว์ เพราะเชื่อว่าการทำเช่นนี้ จะทำให้พวกเขามีชีวิตที่ยืนยาว และมีความสุข

ในวันที่สองของวันขึ้นปีใหม่ ชาวจีนจะสวดอ้อนวอนต่อ บรรพบุรุษและต่อเทพเจ้า พวกเขาจะปฏิบัติต่อสุนัขและเลี้ยงมันเป็นอย่างดี เนื่องว่าชาวจีนเชื่อว่า วันที่สองนี้เป็นวันเกิดของสุนัขทุกตัว

ในวันที่สามและสี่ จะเป็นวันสำหรับลูกหลานจะไปเคารพอวยพรต่อบิดามารดา ในวันที่ห้า จะเรียกวันนี้ว่าวัน Po Woo ในวันนี้ประชาชนจะอยู่กับบ้านเพื่อรอต้อนรับ เทพเจ้าแห่งความเงินทอง และจะไม่มีใครที่จะออกไป เยี่ยมครอบครัวและเพื่อนๆในวันนี้ เพราะจะเป็นการนำความโชคร้าย ไปสู่พวกเขาทั้งสองฝ่าย

ในวันที่หกจนถึงวันที่สิบของวันขึ้นปีใหม่ จะเป็นช่วงที่ชาวจีนออกไปเยี่ยม ญาติและเพื่อนๆ ตามอิสระ รวมไปถึงการไปสวดมนต์ที่วัดเพื่อให้มีสุขภาพและอนาคตที่ดี

ในวันที่สิบถึงวันที่สิบสอง จะเป็นวันที่เพื่อนและญาติ จะเชื้อเชิญกันไป รับประทานอาหารเย็น

สิ่งที่ไม่ควรทำตอนวันขึ้นปีใหม่ (วันตรุษจีน)

**ควรหลีกเลี่ยงการทำงานบ้านในวันขึ้นปีใหม่(วันตรุษจีน) เนื่องจากการทำงานบ้าน เช่น การซักล้าง หรือ การกวาดบ้านปัดฝุ่น จะเป็นการขับไล่ความโชคดีออกไป ดังนั้นการทำความสะอาดบ้านจึงควรเริ่มทำตั้งแต่ก่อนที่วันขึ้นปีใหม่จะมาถึง
**ไม่ควรสระผมในวันเริ่มต้นและวันสุดท้ายของวันขึ้นปีใหม่ เนื่องจากการสระผมถือเป็นการชะล้างความโชคดีที่มาถึงในวันขึ้นปีใหม่
**ไม่ควรใช้ของมีคมในวันขึ้นปีใหม่ ของมีคมต่างๆ เช่น มีด , กรรไกร , ที่ตัดเล็บ เนื่องจากถือว่าการกระทำของของมีคมนี้จะเป็นการตัดสิ่งหรืออนาคตที่ดี ที่จะนำมา ในวันขึ้นปีใหม่
**ควรระมัดระวังในการใช้คำพูดที่มีความหมายไปในทางลบรวมทั้งหลีกเลี่ยงการโต้เถียงกัน คำที่เกี่ยวข้องกับการเจ็บป่วยหรือความตายเป็นคำที่เราควรหลีกเลี่ยงในวันขึ้นปีใหม่
**หลีกเลี่ยงการเข้าร่วมกิจกรรมที่เกี่ยวกับงานศพ และการฆ่าสัตว์ปีก ควรระมัดระวังในการทำสิ่งใดๆ ไม่ควรที่จะให้เกิดการสะดุด หรือ ทำสิ่งของตกแตก ซึ่งนั่นจะหมายถึงการนำความโชคไม่ดีเข้ามาในอนาคต

ความหมายของตรุษจีน

วันตรุษจีน คือวันขึ้นปีใหม่ของจีน (วันที่ 1 เดือน 1 ของวันจีน) ถือเป็นเทศกาลใหญ่ ที่ประหนึ่งรวมเทศกาลวันตรุษ และอาจรวมเทศกาลไหว้สิ้นปี เข้ากับเทศกาลวันตรุษ ซึ่งจะต่างกับวันไทย และวันสากล ในขณะที่วันของไทย เป็นวันข้างขึ้น และข้างแรม เดือนหนึ่งมี 30 วัน ของจีนจะเป็นเดือนสั้น และเดือนยาว เดือนสั้นมี 29 วัน เดือนยาวมี 30 วัน

วันจีนจะช้ากว่าวันข้างขึ้น ข้างแรม ในปฏิทินอยู่ 2 เดือน ยกตัวอย่าง วันไหว้พระจันทร์ ตรงกับวันที่ 15 เดือน 8 เมื่อดูในปฎิทินจะเป็นขึ้น 15 ค่ำ เดือน 10 หรือสมมติว่าวันที่ 31 ธันวาคม 2535 ตรงกับวันขึ้น 8 ค่ำ เดือน 2 ก็คิดกลับเป็นวันจีนจะเป็นวันที่ 8 เดือน 12 จากนั้นนับต่อจากวันที่ 8 ไปเป็นวันที่ 9 เดือน 12 ของจีน คือ วันที่ 1 มกราคม 2536 นับไปเรื่อยๆ จนครบวันที่ 30 เดือน 12 ของจีน ซึ่งจะตรงกับวันที่ 22 มกราคม 2536 ของไทย ดังนั้นวันตรุษจีน คือ วันที่ 1 เดือน 1 ของจีน ก็จะตรงกับวันที่ 23 มกราคม 2536

วันสิ้นปีจะมีการไหว้ หลายอย่าง นิยมเรียกว่า "วันไหว้" มักเรียกวันก่อนหน้าวันไหว้ว่า "วันจ่าย" เพราะเป็นวันสุดท้ายที่จะจับจ่ายซื้อของไหว้ของใช้ต่างๆ ก่อนที่ร้านค้าจะปิดธุรกิจหลายวันการไหว้ตรุษจีนจะนิยมเรียกกันว่า "วันชิวอิด" แปลว่า วันที่ 1 มีความน่าสนใจตรงที่ว่า คนจีนจะไหว้ "ไช้ซิ้งเอี๊ย" หรือเทพเจ้าแห่งโชคลาภ"ในเวลากลางดึก เมื่อเวลาย่างเข้าวันตรุษหรือวันชิงอิดไช้ แปลว่า โชคซิ้ง และเอี๊ย แปลว่า เจ้า
นอกจากนี้เวลาไหว้ยังมีฤกษ์ยาม และทิศที่จะตั้งโต๊ะไหว้ ยังเป็นทิศ และเวลาเฉพาะในแต่ละปี เพื่อความเป็นสิริมงคล ของไหว้จะไหว้ง่ายๆ ด้วยส้ม และโหงวเส็กทึ้งกับนำชา ส้ม คนจีนเรียกว่า กา หรือ "ไต้กิก" แปลว่า โชคดี เพื่ออวยพรให้ลูกหลานโชคดี และใช้ให้เป็นของขวัญ...นำโชคมามอบให้แก่กันโหงวเส็กทึ้ง แปลว่า ขนม 5 สี ได้แก่ ถั่วตัด งาตัด ข้าวพอง ถั่วเคลือบน้ำตาล และฟักเชื่อม บางทีก็เรียกว่า "ขนมจันอับ" หรือ "แต่เหลียง" บางบ้านมีการไหว้อาหารเจแห้ง ให้แก่บรรพบุรุษด้วย บางบ้านนิยมเปิดไฟไว้ที่ศาลเจ้าที่ "ตี่จู่เอี๊ย" เพื่อรอรับวันที่เจ้าที่จะเสด็จกลับลงมาจากสวรรค์ในวันที่ 4 เดือน 1 ของจีน
ในวันตรุษจีน หรือวันชิวอิด ในหมู่คนจีนจะทราบกันว่า นี่คือ "วันถือ" ถือที่จะทำในสิ่งที่ดี และไม่ทำในสิ่งที่ไม่ดี ใส่เสื้อผ้าชุดใหม่สวยงาม ยิ้มแย้มแจ่มใส พูดแต่ "หออ่วย" แปลว่า คำดีๆ ไม่อารมณ์เสียหงุดหงิด ไม่ทำงานหนัก เพื่อที่ว่าตลอดปีจะได้ไม่ต้องทำงานหนักนัก ไม่กวาดบ้าน เพราะอาจปัดสิ่งดีๆ มีมงคลออกไป แล้วกวาดความไม่ดีเข้ามา เริ่มต้นเช้าวันตรุษ คนในบ้านก็จะทักทายกันด้วยคำอวยพร "ซินเจียยู่อี่ ซินนี้ฮวดไช้" หมายถึง เวลาใหม่ให้สมใจ ปีใหม่ให้สมปรารถนา
อั้งเปา" ในวันตรุษจีน มีคำจีนโบราณเรียกว่า "เอี๊ยบซ้วยจี๊" เป็นเงินสิริมงคลที่ผู้ใหญ่ให้แก่ลูกหลาน เพื่ออวยพรให้มีสุขภาพแข็งแรง และเจริญก้าวหน้า ธรรมเนียมหนึ่งในวันตรุษจีนคือการไป "ไป๊เจีย" หรือการไปไหว้ขอพร และอวยพรผู้ใหญ่ หรือญาติมิตร โดยส้มสีทอง 4 ผลห่อด้วยผ้าเช็ดหน้าผู้ชาย ที่นิยมใช้กันแต่ส้มสีทอง ไม่ใช้ส้มเขียว เพราะสีทองเป็นสีมงคล ทองอร่ามเรืองจะอวยพรให้รุ่งเรือง เช่นเดียวกับส้ม ที่คนจีนเรียกว่า ไต้กิก แปลว่า โชคดี ส้มสีทองที่มอบแก่กันคือ นัยอวยพรให้ "นี้นี้ไต้กิก" แปลว่า ทุกๆ ปีให้โชคดีตลอดไป
ส้มสีทอง 4 ใบ เมื่อเจ้าบ้านรับไป จะเป็นการรับไปเปลี่ยนว่าเปลี่ยนส้ม 2 ใบของแขกกับ 2 ใบของที่บ้าน แล้วคืนส้ม 4 ใบคืน ให้แขกนำกลับไป 2 ใบของที่บ้าน แล้วคืนส้ม 4 ใบ คืนให้แขกนำกลับไป หมายถึง การที่ต่างฝ่าย ต่างให้โชคดีแก่กันการติดฮู้ เป็นธรรมเนียมที่นิยมถือทำในวันตรุษจีน เช่น การติด "ฮู้" หรือยันต์แผ่นใหม่ เพื่อคุ้มครองบ้าน ติด "ตุ้ยเลี้ยง" หรือแผ่นคำอวยพรที่ปากทางเข้าบ้าน

ที่มาของวันตรุษจีน



วันตรุษจีน วันสำคัญของชาวจีนที่คนทั่วไปรู้จักกันมากที่สุดคือวันตรุษจีนเราลองมาฟังประวัติความเป็นมาของวันตรุษจีนกันดีกว่า..
"เหนียน" สัตว์ร้ายที่มาทุก 365 วัน คำเรียกวันตรุษจีนอีกวันหนึ่งคือ "ก้วยนี้"หรือ "ก้วยเหนียน" ที่แปลว่าข้ามปีหรือผ่านปี เล่ากันว่าในสมัยดึกดำบรรพ์ มีสัตว์ร้ายตัวหนึ่งชื่อว่า "เหนียน" จะเข้ามาในหมู่บ้านทุก 365 วัน โดยจะวนเวียนในหมูบ้านจนฟ้าสางก็จะกลับเข้าป่าไป จึงเป็นที่หวาดกลัวของชาวบ้านมาก ชาวบ้านจึงซ่อนตัวอยู่ในบ้านเพื่อไม่ให้ "เหนียน" พบตัวและทำอันตรายเมื่อ "เหนียน" กลับไปแล้ว ชาวบ้านจึงออกจากบ้านเรือน แล้วพูดว่าได้รอดพ้นจาก "ตัวเหนียน" มาอีกหนหนึ่ง คำว่า "เหนียน" นี้เองจึงแปลว่าปีในปัจจุบัน ต่อมามีวิธีคิดที่จะขับไล่ตัว "เหนียน" โดยสีแดงและการเผาลำไม้ไผ่ การเผาลำไม้ไผ่จึงกลายมาเป็นกำเนิดของประทัดในปัจจุบัน ส่วนสีแดงก็เป็นที่นิยมว่าเป็นสิริมงคล สื่อถึงความสุขความเจริญ



เหนียน ในภาษาจีนเป็นอักษรโบราณที่มีใช้มาตั้งแต่ยุคโลหะของจีน (เรียกอักษรจินจื้อถี่) ซึ่งยังคงความเป็นอักษรภาพ
หากวิเคราะห์อักษรเหนียนโนราณ จะเป็นภาพซ้อนของภาพสองภาพในลักษณะบนล่าง ภาพบนเป็นตัวหมี่(ข้าว) ภาพล่างเป็นตัวเหริน(คน) ซึ่งหมายถึงคนกำลังแบกขนข้าว
เหนียน จึงแทนการเก็บผลิตผล
เทศกาลกั่วเหนียน หรือตรุษจีน ในอดีตจึงเป็นการเฉลิมฉลองการเก็บเกี่ยว ซึ่งทำกันก่อนอากาศหนาวมาเยือน
แต่เมื่อเวลาผ่านไป การเฉลิมฉลองเหนียนถูกเปลี่ยนวัตถุประสงค์จากเดิมไปเป็นการฉลองศักราชใหม่

วันพฤหัสบดีที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2552

Reported Speech

เมื่อจะนำคำพูดของใครไปเล่าให้ผู้อื่นฟัง อาจมีวิธีพูดได้ 2 วิธี คือ1. โดยยกคำพูดจริง ๆ ของผู้พูดไปเล่าให้ฟังทั้งหมดโดยไม่เปลี่ยนแปลง เรียกว่า Direct Speech
เช่นJohn said, "I like Mathematics."ข้อความว่า "I like Mathematics" เป็น Direct Speech
2. โดยดัดแปลงเป็นคำพูดของผู้เล่าเอง เรียกว่า Indirect Speech หรือ Reported Speech
เช่นJohn said (that) he liked Mathematics.ข้อความว่า "he liked Mathematics" ดัดแปลงมาจากคำพูดของ John ที่พูดว่า "I like Mathematics"ดังนั้นข้อความนี้จึงเป็น Indirect Speech หรือ Reported Speech
**คำกริยาที่ใช้กับ Reported Speech เรียกว่า กริยานำ (Reporting Verbs หรือ Introducing Verbs) เช่น1. say (said) = พูดว่า2. know (knew) = รู้ว่า3. hope (hoped) = หวังว่า4. think (thought) = คิดว่าเช่น(1) John said, "I like Mathematics."(2) John said (that) he liked Mathematics.คำกริยา said ในประโยค (1) เรียกว่า กริยานำ (Reporting Verb หรือ Introducing Verb)ข้อความว่า (that) he liked Mathematics ในประโยค (2) เรียกว่า คำเล่า (Indirect Speech หรือ Reported Speech)
Reported Speech มี 3 แบบใหญ่ ๆ คือ1. Reported Statement (บอกเล่าและปฏิเสธ)2. Reported Request and Command (ขอร้องและคำสั่ง)3. Reported Questions (คำถาม)ซึ่งมีวิธีการเปลี่ยนจาก Direct Speech เป็น Reported Speech ที่แตกต่างกันดังนี้
1. Reported Speech แบบ Reported Statementมีวิธีการเปลี่ยนจาก Direct Speech เป็น Reported Speech ดังนี้(1) ตัดเครื่องหมาย comma (,) ออก

(2) จะเติม that หลัง Reporting Verbs หรือไม่ก็ได้
(3) ตัดเครื่องหมายคำพูด (Quotation mark) ออก
(4) เปลี่ยนสรรพนามในคำพูดให้เข้ากับผู้พูด
(5) เปลี่ยน Tense ของคำกริยาในคำพูดให้เข้ากับ Reporting Verbs ซึ่งมี 2 แบบใหญ่ ๆ ดังนี้
5.1 ถ้ากริยานำเป็นปัจจุบัน (Present) ไม่ต้องเปลี่ยนแปลง Tense ใน Reported Speech เช่นDirect Speech : John says, "I like Mathematics."=>Reported Speech : John says (that) he likes Mathematics.(like และ likes เป็นคำกริยาช่องที่ 1 = Present Simple Tense ทั้งคู่)
5.2 ถ้ากริยานำเป็นอดีต (Past) ต้องเปลี่ยนแปลง Tense ใน Reported Speech ดังนี้1) Present Simple Tense เปลี่ยนเป็น Past Simple Tense เช่นDirect Speech : John said,
"I like Mathematics."=> Reported Speech : John said (that) he liked Mathematics.
2) Present Continuous Tense เปลี่ยนเป็น Past Continuous Tense
เช่นDirect Speech : Jenny said, "I am not going to Bangkok."=> Reported Speech :
Jenny said (that) she was not going to Bangkok.
3) Present Perfect Tense เปลี่ยนเป็น Past Perfect Tense เช่นDirect Speech : Tom said, "I have finished my work."=> Reported Speech : Tom said (that) he had finished his work.
4) Past Simple Tense เปลี่ยนเป็น Past Perfect Tense เช่นDirect Speech : Malee said,
"I went to Bangkok."=> Reported Speech : Malee said (that) she had gone to Bangkok.
5) will เปลี่ยนเป็น would เช่นDirect Speech : John and Tom said, "We will go to Bangkok."=> Reported Speech : John and Tom said (that) they would go to Bangkok.
6) shall เปลี่ยนเป็น should เช่นDirect Speech : They said, "We shall go to Bangkok."=> Reported Speech : They said (that) they should go to Bangkok.
7) can เปลี่ยนเป็น could เช่นDirect Speech : Jim said, "I can't speak Thai."=> Reported Speech : Jim said (that) he couldn't speak Thai.
8) may เปลี่ยนเป็น might เช่นDirect Speech : Peter said, "I may not go to Bangkok."
=> Reported Speech : Peter said (that) he might not go to Bangkok.
9) must เปลี่ยนเป็น had to เช่นDirect Speech : My mother said, "I must go to Bangkok."=> Reported Speech : My mother said (that) she had to go to Bangkok.
***ข้อควรจำเพิ่มเติม

1. ถ้าใน Direct Speech
มีคำหรือข้อความที่เป็นเวลาให้เปลี่ยนดังนี้Direct Speech => Reported Speech
now => then
today => that day
yesterday => the day before / the previous day
tonight => that nighttomorrow => the next day / the following day
next (week) => the following (week)
ago => before
last (week) => the previous (week)
the day before yesterday => earlier / two days beforethe
day after tomorrow => later in two day's time / two days after
a year ago => a year before / the previous year
2. ถ้าใน Direct Speech มีคำหรือข้อความที่แสดงความใกล้-ไกลให้เปลี่ยนดังนี้Direct Speech => Direct Speechhere => therethis => thatthese => those
3. Reported Speech แบบ Reported Request and Commandการเปลี่ยนประโยคขอร้อง ขออนุญาต หรือคำสั่ง (Request or Command) เป็น Reported Speech มีวิธีการเปลี่ยน Tense คำหรือข้อความบอกเวลา และคำหรือข้อความที่บ่งบอกความใกล้-ไกล เหมือนกับ Reported Statement แต่มีที่แตกต่างกัน คือ(1) ใช้กริยานำ คือ tell/told (บอก), order/ordered (สั่ง), ask/asked (ขอร้อง), command/commanded (สั่ง)

(2) ใช้ (not) to เป็นตัวเชื่อม
(3) ถ้า Direct Speech ไม่มีกรรม (object) ให้เติมกรรมลงไปใน Reported Speech ด้วย
(4) ถ้ามีคำว่า Please ให้ตัดออกเช่นDirect Speech : He said, "Please don't make aloud noise."=> Reported Speech : He told him not to make aloud noise.
(1) เปลี่ยนกริยานำจาก said เป็น told
(2) ใช้ not to เป็นตัวเชื่อมเพราะ Direct Speech เป็นปฏิเสธ (don't)
(3) เติมกรรม (him) เพราะ Direct Speech ไม่มีกรรม
(4) ตัดคำว่า Please ออก
Direct Speech : She told us, "Come to the party tomorrow."=> Reported Speech : She told us to come to the party the following day.

(1) ใช้กริยานำว่า told เพราะ Direct Speech ใช้ told
(2) ใช้ to เป็นตัวเชื่อมเพราะ Direct Speech เป็นบอกเล่า (Come)
(3) ใช้คำว่า us เป็นกรรมเพราะ us เป็นกรรมของกริยา told อยู่แล้ว
(4) เปลี่ยน tomorrow เป็น the following day
Direct Speech : She asked her father, "Let me go to Chiangrai with Ludda."=> Reported Speech : She asked her father to let her go to Chiangrai with Ludda.

(1) ใช้กริยานำว่า asked เพราะ Direct Speech ใช้ asked
(2) ใช้ to เป็นตัวเชื่อมเพราะ Direct Speech เป็นบอกเล่า (Let)
(3) เปลี่ยนกรรมจากคำว่า me เป็น her เพราะเป็นคำพูดของผู้หญิง (She)
3. Reported Speech แบบ Reported Questionการเปลี่ยนประโยคคำถาม (Question) เป็น Reported Speech มีวิธีการเปลี่ยน Tense คำหรือข้อความบอกเวลา และคำหรือข้อความที่บ่งบอกความใกล้-ไกลเหมือนกับ Reported Statement แบ่งออกเป็น 2 ประเภทตามลักษณะของคำถาม คือ

(1) ประโยคคำถามที่ขึ้นต้นด้วยกริยาช่วย (Yes/No Questions) เมื่อเปลี่ยนเป็น Reported Speech ให้ทำดังนี้1.1 ใช้กริยานำ คือ ask/asked (ถามว่า), inquire/inquired (ถามว่า),wonder/wondered (สงสัยว่า, อยากรู้ว่า),want to know/wanted to know (อยากรู้ว่า)1.2 ใช้ if หรือ whether เป็นตัวเชื่อม มีความหมายว่า "ใช่หรือไม่" (จะใช้คำใดก็ได้)1.3 เรียงคำในประโยคให้อยู่ในรูปของประโยคบอกเล่าเช่นDirect Speech : They asked, "Can we leave now?"=> Reported Speech : They asked if they could leave then
(1) ใช้กริยานำว่า asked เพราะประโยคที่มี Direct Speech มีกริยานำว่า asked อยู่แล้ว
(2) ใช้ if เป็นตัวเชื่อม
(3) เปลี่ยนคำบอกเวลาจากคำว่า now เป็น then
(4) เปลี่ยน we เป็น they เพราะผู้พูดคือ They
(5) เรียงคำที่เปลี่ยนจาก Direct Speech ให้อยู่ในรูปของประโยคบอกเล่า คือ ประธาน + กริยา + ….……(จากเดิม Can we …..…. เป็น They could ………)
Direct Speech : She said to me, "Does Jim like Thai food?"=> Reported Speech : She asked me whether Jim liked Thai food.

(1) เปลี่ยนกริยานำจาก said เป็น asked
(2) ใช้ whether เป็นตัวเชื่อม
(3) เปลี่ยน like จากช่องที่ 1 เป็นช่องที่ 2 คือ liked
(4) เรียงคำที่เปลี่ยนจาก Direct Speech ให้อยู่ในรูปของประโยคบอกเล่า คือ ประธาน + กริยา + ….……(จากเดิม Does Jim like …..…. เป็น Jim liked ………)
2. ประโยคคำถามที่ขึ้นต้นด้วย Question words (Wh- Questions) เมื่อเปลี่ยนเป็น Reported Speech ให้ทำดังนี้

2.1 ใช้กริยานำ คือ ask/asked (ถามว่า),inquire/inquired (ถามว่า),wonder/wondered (สงสัยว่า, อยากรู้ว่า),want to know/wanted to know (อยากรู้ว่า)
2.2 ใช้ Question words เป็นตัวเชื่อม
2.3 เรียงคำในประโยคให้อยู่ในรูปของประโยคบอกเล่าเช่นDirect Speech : They asked, "Who can speak English?"=> Reported Speech : They asked who could speak English.
(1) ใช้กริยานำว่า asked เพราะประโยคที่มี Direct Speech มีกริยานำว่า asked อยู่แล้ว
(2) ใช้ who เป็นตัวเชื่อม เพราะ who เป็น question word
(3) เปลี่ยน can เป็น could
(4) ข้อความใน Direct Speech เรียงคำอยู่ในรูปของประโยคบอกเล่าอยู่แล้ว คือ ประธาน + กริยา + ……จึงคัดลอกลงใน Reported Speech ได้เลย
Direct Speech : She said to me, "When will Jim go to Japan?"=> Reported Speech : She asked me when Jim would go to Japan.

(1) เปลี่ยนกริยานำจาก said เป็น asked
(2) ใช้ when เป็นตัวเชื่อม เพราะ when เป็น question word
(3) เปลี่ยน will เป็น would(4) เรียงคำที่เปลี่ยนจาก Direct Speech ให้อยู่ในรูปของประโยคบอกเล่า คือ ประธาน + กริยา + ….……(จากเดิม will Jim go …..…. เป็น Jim would go ………)

วันเสาร์ที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2552

ข้อแตกต่างระหว่างธนบัตรรัฐบาล -- ธนบัตรปลอม

Image Hosted by ImageShack.usธนบัตรรัฐบาล

กระดาษเหนียวแกร่ง ไม่เปื่อยหรือยุ่ยง่าย

มีเส้นใยใสฝังอยู่เนื้อกระดาษตามแนวยืน มองเห็นยากเมื่อวางราบ แต่เมื่อส่องกล่องดูกับแสงสว่างจะเห็นได้อย่างชัดเจน แล้วมีคำว่า"ประเทศไทย" หรือ"ทรงพระเจริญ" หรือ 100 บาท หรือ 500 บาท หรือ 1000 บาท

มีลายน้ำพระบรมฉายาสาทิศลักษณ์ในเนื้อกระดาษส่วนที่ว่าง จะเห็นชัดเจน เมื่อส่องดูกับแสงสว่างและลายประจำยาม โปร่งแสงพิเศษ

พิมพ์ด้วยระบบเส้นนูน เมื่อใช้ปลายนิ้วมือลูบสัมผัสตัวอักษรคำว่ารัฐบาลไทย"ธนบัตร"ป็นเงินที่ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย"ตัวเลขบอกราคามุมขวาบนและตัวอักษรได้ตามกฎหมาย"ตัวเลขบอกราคามุมขวาบนและตัวอักษรงราราบนด้านหน้าของธนบัตร จะรู้สึกสะดุด

ธนบัตรชนิดราคา 100 500 และ 1000 บาท ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน จะมีตัวเลขแฝงภายในลวดลายเส้นนูน ภายในลวดลายเส้นนูน มุมขวาด้านล่าง เมื่อเอียงธนบัตรเข้าหาแสงสว่าง เมื่อเอียงธนบัตร เข้าหาแสงสว่างให้ได้มุมมองที่เหมาะสม จะปรากฎตัวเลข 100 500 และ 1000 ตามชนิดราคาธนบัตร

ความชัดเจนของลวดลายและภาพ โดยเฉพาะที่พระบรมฉายาสาทิสลักษณ์ จะมีลายเส้นละเอียดคมชัด

ธนบัตรปลอม

เนื้อกระดาษไม่เหนียวแกร่ง เปื่อยยุ่ยงาย บางฉบับเนื้อกระดาษมันและลื่น

ส่วนใหญ่ ไม่มีเส้นใยใสฝังอยู่ในเนื้อกระดาษ แต่จะพิมพ์เป็นเส้นเห็นได้ชัดเจน แม้วางในแนวรอบบางฉบับอาจมีเส้นใยฝังอยู่ในเนื้อกระดาษ แต่จะไม่มีตัวเลข หรือตัวอักษรใดๆปรากฎอยู่บนเส้นใย

อาจมีลายน้ำปลอม เห็นเป็นภาพพิมพ์อยู่ด้านหน้าหรือด้านหลังและต่างกับพระบรมฉายาสาทิสลักษณ์จริงเมื่อส่องดูกับแสงสว่างอาจเห็นเลือนลาง และบางฉบับไม่มีลายน้ำเลย

พิมพ์ด้วยระบบออฟเซทธรรมดา หรือถ่ายเอกสารสอดสีเมื่อใช้ปลายนิ้วลูบ หรือสัมผัสจะไม่มีจุดใดที่รู้สูกสะดุด

บางฉบับจะมองไม่เห็นตัวเลขแฝงเลย บางฉบับอาจมองเห็นได ้โดยไม่ต้องเอียงธนบัตร

ลายเส้นและลวดลายประดิษฐ์ต่างๆ จะหยาบไม่คมชัด และสีซีดจาง หรือสีสดใสเป็นมัน

วันพฤหัสบดีที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2552

ต้นกำเนิดหมีพูห์


ต้นกำเนิดหมีพูห์

Alan Alexander Milne คือผู้สร้างการ์ตูน winnie the pooh เขาเกิดในครอบครัวครู เมื่อวันที่ 18 มกราคม ค.ศ.1882 เริ่มหัดอ่านหนังสือตั้งแต่อายุเพียง 2 ขวบ เมื่ออายุ 24 ปี ได้เป็นบรรณาธิการหนังสือแนวเสียดสีชื่อ "Punch" ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ขณะเขาเป็นทหารได้ใช้เวลาว่างในการเขียนบทละครเรื่อง "Mr. Pim Passes By" ซึ่งโด่งดังมากในปี ค.ศ.1919


ต้นกำเนิดของหมีพูห์เริ่มจากการที่ทหารกองทัพแคนาดา ได้นำหมีน้อยตัวหนึ่งชื่อว่า "วินนี่ เพ็ก" ให้แก่ประเทศอังกฤษ เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของการร่วมรบระหว่างกองทัพแคนาดาและอังกฤษ ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 (ค.ศ.1914-1918) หมีน้อยตัวนี้ได้ไปอยู่ในสวนสัตว์ของกรุงลอนดอนในปี 1919 ซึ่งเป็นที่ชื่นชอบของชาวลอนดอนมาก รวมถึงหนูน้อย "คริสโตเฟอร์ โรบิน" ลูกชายของ A.A. Milne หนูน้อยคริสโตเฟอร์ นำชื่อหมีวินนี่ เพ็ก ไปตั้งชื่อตุ๊กตาหมีตัวโปรดของเขาว่า "winnie the pooh" โดยคำว่า "พูห์" (Pooh) เป็นชื่อของหงส์ในกวีบทหนึ่ง ต่อมา A.A. Milne จึงเริ่มเขียนเรื่องราวของ winnie the pooh และเพื่อนพ้องของมัน โดยหนังสือวางจำหน่ายเมื่อปี ค.ศ.1926


กระทั่งปี 1996 ที่ผ่านมา มียอดขายหนังสือถึง 20 ล้านเล่ม แปลเป็นภาษาต่างๆ มากกว่า 25 ภาษา ในขณะเดียวกัน Walt Disney ซื้อลิขสิทธิ์หมีพูห์และนำไปสร้างการ์ตูนบนแผ่นฟิล์ม พร้อมกับผลิตภัณฑ์มากมายก่ายกอง ทำให้หมีพูห์เป็นการ์ตูนยอดฮิตอันดับ 2 ของเด็กอเมริกันรองจาก มิกกี้ เมาส์ สำหรับตัวผู้วาดการ์ตูนหมีพูห์มีชื่อว่า E.H. Shepard

สมอง


สมอง คืออวัยวะสำคัญในสัตว์หลายชนิดตามลักษณะทางกายวิภาค หรือที่เรียกว่า encephalon จัดว่าเป็นส่วนกลางของระบบประสาท คำว่า สมอง นั้นส่วนใหญ่จะเรียกระบบประสาทบริเวณหัวของสัตว์มีกระดูกสันหลัง คำนี้บางทีก็ใช้เรียกอวัยวะในระบบประสาทบริเวณหัวของสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังอีกด้วย

สมองมีหน้าที่ควบคุมและสั่งการการเคลื่อนไหว, พฤติกรรม และรักษาสมดุลภายในร่างกาย (homeostasis) เช่น การเต้นของหัวใจ, ความดันโลหิต, สมดุลของเหลวในร่างกาย และอุณหภูมิ เป็นต้น หน้าที่ของสมองยังมีเกี่ยวข้องกับการรับรู้ (cognition) อารมณ์ ความจำ การเรียนรู้การเคลื่อนไหว (motor learning) และความสามารถอื่น ๆ ที่เกี่ยวกับการเรียนรู้

สมองประกอบด้วยเซลล์สองชนิด คือ เซลล์ประสาท และเซลล์เกลีย เกลียมีหน้าที่ในการดูแลและปกป้องนิวรอน นิวรอนหรือเซลล์ประสาทเป็นเซลล์หลักที่ทำหน้าที่ส่งข้อมูลในรูปแบบของสัญญาณไฟฟ้าที่เรียกว่า ศักยะทำงาน (action potential) การติดต่อระหว่างนิวรอนนั้นเกิดขึ้นได้โดยการหลั่งของสารเคมีชนิดต่าง ๆ ที่รวมเรียกว่า สารสื่อประสาท (neurotransmitter) ข้ามบริเวณระหว่างนิวรอนสองตัวที่เรียกว่า ไซแนปส์ สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง เช่น แมลงต่าง ๆ ก็มีนิวรอนอยู่นับล้านในสมอง สัตว์มีกระดูกสันหลังขนาดใหญ่มักจะมีนิวรอนมากกว่าหนึ่งร้อยล้านตัวในสมอง สมองของมนุษย์นั้นมีความพิเศษกว่าสัตว์ตรงที่ว่ามีความซับซ้อนและใหญ่กว่าเมื่อเทียบกับขนาดตัวของมนุษย์

วันนี้เกร็ดความรู้มีวิธีสังเกตอาการของผู้ที่เสี่ยงเป็นโรคหลอดเลือดสมองมาฝากกัน....

โรคหลอดเลือดสมองเป็นโรคที่เกิดจากการสูญเสียหน้าที่การทำงานของสมองอย่างเฉียบพลันแบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ โรคหลอดเลือดสมองอุดตัน และโรคหลอดเลือดสมองแตก 80% จะเป็นชนิดหลอดเลือดสมองอุดตัน เกิดจากการมีลิ่มเลือดอุดตันหลอดเลือดในสมอง (Ischemic stroke) 20% จะเป็นชนิดหลอดเลือดสมองแตก เกิดจากการแตกของหลอดเลือดทำให้เกิดเลือดคั่งในเนื้อสมอง (Hemorrhagic stroke) ทำให้เกิดเลือดคั่งในเนื้อสมอง (Hemorrhagic stoke)

อาการของผู้ที่เสี่ยงเป็นโรคหลอดเลือดสมอง มีดังนี้

1. มีอาการแขนขาอ่อนแรงครึ่งซีก ปากเบี้ยวหรือชาครึ่งซีก เป็นทันทีทันใด

2. พูดไม่ออก ฟังไม่เข้าใจภาษา พูดอ้อแอ้ไม่ชัด เป็นทันทีทันใด

3. ตาข้างใดข้างหนึ่งมองไม่เห็นหรือมองไม่เห็นครึ่งซีกของลานสายตา หรือเห็นภาพซ้อน เป็นทันทีทันใด

4. เวียนศีรษะ บ้านหมุน รู้สึก โคลงเคลง เดินเซ คล้ายคนเมาเหล้า เป็นทันทีทันใด

5. ปวดศีรษะอย่างรุนแรงและไม่เคยเป็นมาก่อน ร่วมกับอาเจียนหรือหมดสติเป็นทันทีทันใด