วันเสาร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2552

ความรัก กับ รองเท้า

รองเท้าแตะส่วนมากขายตามร้านทั่วไป ดังนั้นเวลาเราไปเห็นก็ไม่เคยจะนึกสนใจ มีคนเสนอขายให้ราคาถูกๆ ก็ไม่เคยคิดจะซื้อ แต่พอจำเป็นเข้าจริงๆ ก็ต้องไปซื้อมาแก้ขัดก่อนอยู่ดี รองเท้าบางคู่สบายใหม่ๆ อาจรู้สึกสบาย แต่ถ้าใส่นานๆ เข้า อาจจะรู้สึกว่ารองเท้าคู่นี้ไม่เหมาะกับเรา อยากจะถอดทิ้งเสียเหลือเกิน รองเท้าบางคู่ลองใส่ที่ร้านแล้วรู้สึกแปลกๆ อาจมีบ้างที่คับไป หรือ หลวมไป แต่ใครจะรู้ว่าบางทีพอใส่ไปซักพัก หนังอาจจะขยายพอดีกับเท้าของเรา จนรู้สึกว่าดีเหลือเกินที่ตอนนั้นตัดสินใจเลือกคู่นี้ รองเท้าบางคู่ ดูภายนอกอาจตลก แต่รู้มั๊ยว่าบางทีเมื่อมันมาอยู่คู่กับเท้าของเรา อาจจะทำให้ทั้งเท้าของเราและรองเท้าดูดีผิดหูผิดตาไป ส่วนรองเท้าคู่ไหนที่เห็นคนอื่นใส่แล้วดูดี ก็ไม่แน่เสมอไปว่ามาอยู่กับเราแล้วจะดีเหมือนอยู่กับคนอื่น ... ....เคยเจอมั๊ย...ใครที่มีรองเท้ามากมายเกินความจำเป็น เขาเหล่านั้นก็คงจะไม่รู้ว่าคู่ไหนเป็นคู่โปรด ตราบเมื่อเค้าได้เสียรองเท้าคู่นั้นไป ซึ่งมันก็อาจจะสายไปเสียแล้วที่จะทวงคืน แล้วรองเท้าตามโรงแรมล่ะ รองเท้าสาธารณะเหล่านั้นที่ได้ผ่านเท้าของผู้คนมามากมาย บางคู่อาจยังใหม่ บางคู่อาจดูโทรม ส่วนบางคู่อาจจะนำพาโรคมาสู่ผู้ที่ใส่ แต่รองเท้าสาธารณะเหล่านี้ มีความเหมือนกันอยู่อย่างนึงคือ ยากมากจนเรียกว่าแทบจะไม่มีเลย ที่จะมีคนมาขอซื้อเป็นเจ้าของ นอกเสียจากซื้อไว้ดูเล่น ซึ่งก็จะไม่มีทางได้สัมผัสกับ ความรัก ระหว่างเจ้าของกับรองเท้า...เฮ้อ...น่าสงสาร.... ...รองเท้าที่เหมาะกับเรา หาไม่ยาก และไม่ง่าย แต่ถ้าเดินไปแล้วเจอคู่ที่ถูกใจ อยากบอกว่า ให้รีบตัดสินใจซื้อ ก่อนที่จะถูกคนอื่นมาชิงตัดหน้าไปก่อน ซึ่งรองเท้าคู่นั้นอาจจะเป็นคู่เดียวในโลกที่เหมาะกับเรามากที่สุดก็ได้ ส่วนรองเท้าบางคู่ที่ไม่เหมาะกับเรา ใส่แล้วไม่รู้สึกสบาย ขอแนะนำว่าอย่าพยายามใส่ต่อไปอีกเลย มีแต่จะทำให้เราทรมาน เพราะในที่สุดเราก็ต้องโยนมันทิ้งไปอยู่ดี ..รองเท้าสมัยใหม่ ดูแล้วกิ๋บเก๋ แต่รองเท้าสมัยเก่าใส่แล้วก็ดูดีไปอีกแบบ จะสมัยไหนก็ช่าง ขอให้ใส่แล้วสบายที่สุด แล้วเมื่อเจอแล้วจงใส่มันอย่างถะนุถนอม จะได้อยู่กับเราไปนานเท่านาน แต่ที่แน่ๆ คุณจะไม่มีวันได้รู้หรอกว่ารองเท้าคู่ไหนเหมาะกับคุณที่สุดจะเมื่อคุณได้ลองใส่มันเท่านั้น ... ..วันนี้คุณได้เจอรองเท้าที่คุณคิดว่าเหมาะกับคุณที่สุดหรือยัง.... พยายามเสาะหาต่อไปเถอะ เราเชื่อว่าซักวันคุณจะได้เจอรองเท้าคู่ที่ดีที่สุดสำหรับคุณอย่างแน่นอน... ...อย่าเลยนะ...อย่าพยายามเดินเท้าเปล่าเลย เพราะบนถนนมีสิ่งที่เป็นอันตรายต่อเท้าของคุณมากมาย หารองเท้าซักคู่มาใส่ป้องกันก่อนดีกว่า แม้ว่าคู่นั้นอาจจะยังไม่ใช่คู่ที่ดีที่สุดสำหรับคุณก็ตาม

สมุนไพรและ อาหารต้านมะเร็ง

หลายคนคงเคยสงสัยที่มีการวิจัยบอกว่าพบสมุนไพรหลายชนิดที่เพิ่มภูมิคุ้มกันของร่างกาย อย่างน้ำลูกยอที่ผ่านกระบวนการสกัดด้วยน้ำร้อน สารสกัดหญ้าปักกิ่งที่ได้จากการสกัดด้วยน้ำ หรือแม้แต่สมุนไพร ตัวใหม่ที่เป็นที่นิยมกันปัญจขันธ์หรือเจียวกู่หลาน นั้น ควรจะมีการบริโภคอย่างไรจึงจะพอเหมาะพอดี เรื่องนี้ ภญ.ผกากรอง ขวัญข้าว เภสัชกร รพ.เจ้าพระยาอภัยภูเบศร เขียนไว้ใน อภัยภูเบศรสาร เดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา บอกว่า ไม่แนะนำให้รับประทานสมุนไพรเพียงชนิดเดียวเพื่อหวังให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานดีขึ้น แต่คงต้องใช้หลายๆ ตัวช่วยกัน เพราะการรับประทานสมุนไพรนอกจากได้พฤกษเคมี (phytochemical substance) แล้วเรายังได้สารอาหารที่มีประโยชน์ต่างๆ ที่จะทำให้ร่างกายแข็งแรงได้อีกทางหนึ่งด้วย ส่วนเรื่องอาหารและสมุนไพรต้านหรือลดมะเร็ง ตามที่ข้อมูลวิทยาศาสตร์วิจัยพบ อย่างมะเขือเทศต้านมะเร็งต่อมลูกหมากเพราะมีสาระสำคัญชื่อ ไลโคปีน ผักในตระกูลกะหล่ำ อย่างกะหล่ำปลี กะหล่ำดอก และบรอคโคลี มีสารซัลโฟราเฟน และพืชอื่นๆ อีกนั้น ต้องพึงระลึกไว้ว่ายังไม่มีการวิจัยในคนเลยที่บอกว่าคนที่เป็นมะเร็งหากรับประทานสมุนไพร ชนิดใดชนิดหนึ่งอย่างเดียวเป็นเวลาหลายๆปีแล้วจะลดการเกิดมะเร็งได้หรือไม่ ดังนั้น เภสัชกรผกากรองจึงแนะนำว่าให้เลือกรับประทานผักมากๆ รองลงไปเป็นข้าว โดยเฉพาะข้าวกล้อง รองลงมาเป็นผลไม้และเนื้อสัตว์ และเพิ่มสมุนไพรต้านมะเร็งเข้าไปในมื้ออาหารของคุณด้วย ก็จะช่วยให้แข็งแรงขึ้น ดีกว่ารับประทานอาหารอย่างใดอย่างหนึ่งอย่างเดียว.

ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

กินช็อกโกแลต ดื่มชาและเหล้าไวน์ ช่วยบำรุงสติ ปัญญาได้

ทีมนักวิทยาศาสตร์ของคณะสรีรวิทยา กายวิภาควิทยาและพันธุกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด กล้ารับประกันว่า กินช็อกโกแลต ดื่มชาและเหล้าไวน์ บำรุงสติปัญญาได้จริง เพราะรู้จากผลการศึกษาว่า คนที่กินและดื่มสิ่งที่เป็นอาหารเหล่านี้ จะทำคะแนนเฉลี่ยในการทดสอบได้สูงพวกเขาได้ศึกษาหาความเกี่ยวพันของสมรรถภาพทางสมองกับ การบริโภคอาหารสามัญ 3 อย่างนี้ ซึ่งล้วนแต่มีสารฟลาโวนอยด์อย่างอุดม ในหมู่ผู้สูงอายุ วัยระหว่าง 70-74 ปี จำนวน 2,031 คน โดยขอให้กรอกข้อมูลในเรื่องอาหารการกิน และจับทำการทดสอบสมรรถภาพทางสมองรวมกันหลายชุดขณะนี้นักวิทยาศาสตร์กำลังมีความสนใจ ในบทบาทของพวกสารอาหารรองที่เกี่ยวพันกับความเสื่อมทางสติปัญญากันมากขึ้น โดยเฉพาะผลไม้ และเครื่องดื่มอย่าง ชา เหล้าไวน์แดง โกโก้ และกาแฟ ซึ่งต่างเป็นแหล่งอาหารที่มีสารโพลีฟีนอลส์ อันเป็นสารอาหารรองที่มีอยู่ในอาหารที่มาจากพืช อย่างไรก็ตาม รายงานผลการศึกษาซึ่งเสนออยู่ในวารสาร “ โภชนาการ” ได้เตือนว่า ไม่ควรดื่มเหล้า ที่มีข่าวว่าช่วยส่งเสริมสติปัญญาได้ และอาจจะมีสรรพคุณลดโอกาสของการเป็นโรคสมองเสื่อม ในช่วงเทศกาลวันหยุดส่งท้ายปีเก่าขึ้นปีใหม่ หนักข้อไปนัก เพราะการดื่มมากเกินไปอาจให้โทษ เป็นสาเหตุของโรคสมองเสื่อมเสียเองหนึ่งในหลายสาเหตุได้ ทั้งยังก่อปัญหาสุขภาพอื่นๆ อีกมากมายด้วย.

ไวรัสคอมพ์นับวันยิ่งร้าย แจ้งเกิดใหม่นาทีละ10ตัว

นายคงศักดิ์ ก่อตระกูล ที่ปรึกษาด้านเทคนิค บริษัท เทรนด์ ไมโคร (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า จากรายงานสรุปภัยคุกคามข้อมูลช่วง 6 เดือนแรก และการคาดการณ์ภัยคุกคามช่วงครึ่งหลังของปี 2551 ระบุว่า อาชญากรรมไซเบอร์พยายามใช้เทคนิคใหม่ๆ เพื่อหลอกล่อผู้บริโภค เช่น การนำเสนอฟิชชิ่งในรูปแบบการเตือนให้เหยื่อระวังเกี่ยวกับอีเมล์ฟิชชิ่ง ซึ่งเป็นวิธีที่ทำให้อีเมล์ฉบับนั้นน่าเชื่อถือ โดยครึ่งปีที่ผ่านมาภัยคุกคามบนเว็บเกิดขึ้นสูงสุดในเดือนมี.ค.ซึ่งมีปริมาณการโจมตีถึง 50 ล้านครั้ง จาก 15 ล้านครั้งในเดือนธ.ค.2550นายคงศักดิ์ กล่าวว่า รูปแบบการโจมตีของไวรัสล่าสุด พบมีการพัฒนาไวรัสให้ฆ่าซอฟต์แวร์แอนตี้ไวรัสโดยเฉพาะ โดยหลอกให้โลโก้ของซอฟต์แวร์ป้องกันไวรัสยังทำงานเหมือนปกติ ทำให้เจ้าของเครื่องไม่สงสัย เรียกว่า disabled antimalware กว่าเจ้าของจะรู้ตัวเครื่องก็ติดไวรัสนับร้อยตัวจนเครื่องรวน ซึ่งข้อมูลจากปี 2550 พบไวรัสทั้งหมด 5.49 ล้านตัว เฉลี่ยพบไวรัสวันละ 1.5 หมื่นตัว หรือคิดเป็นชั่วโมงละ 600 ตัว และนาทีละ 10 ตัว ซึ่งประเทศไทยยังพบไวรัสประเภทเวิร์มและโทรจันเป็นส่วนใหญ่ดังนั้น เทรนด์ ไมโคร จึงปรับรูปแบบการตรวจจับไวรัสใหม่เป็น Smart Protection Network โดยสร้างเครือข่ายรวมขึ้นมาจากดาต้าเซ็นเตอร์ 10 ศูนย์ทั่วโลก เมื่อพบไวรัสใหม่ข้อมูลถูกส่งไปส่วนกลางเพื่อตรวจสอบที่มาและสร้างการป้องกัน พร้อมแจ้งให้ผู้ใช้ทั่วโลกทราบทันที ปัจจุบันเทรนด์ไมโครอัพเดทไวรัสทุกๆ 15 นาที และทดสอบไวรัสประมาณ 50 ล้านตัวอย่าง/ปี ตั้งเป้าจะทดสอบให้ได้ 250 ล้านตัวอย่าง/ปี

ประดิษฐ์กล้องช่วยคนตาบอดสำเร็จแล้ว

ก่อนหน้านี้มีข่าวว่า มีการคิดค้นประดิษฐ์กล้องจิ๋ว เพื่อช่วยให้คนพิการทางสายตากลับมาเห็นได้อีก บัดดนี้สำเร็จแล้วซึ่งคาดว่าผู้ที่สายตาพิการ อาจจะมีโอกาสมองเห็นได้อีกครั้งหนึ่ง โดยการใช้กล้องที่กำลังมีผู้คิดประดิษฐ์ขึ้น ....นักวิจัยเอลิสะเบธ โกลด์ริง ของสถาบันเทคโนโลยี แมสซาชูเสตต์ร่วมกับร็อบ เวบบ์ แห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด แห่งอเมริกา ได้ประดิษฐ์ "เครื่องช่วยการมอง" มีขนาดเท่ากับกระเป๋าหิ้ว ประกอบด้วยจอแอลซีดีและกล้องถ่ายภาพดิจิตอล ช่วยให้คนตาบอดมองเห็นได้ มันทำงานโดยป้อนภาพที่เห็นไปยังจอแอลซีดี อันเป็นจอที่ใช้ไดโอดเปล่งแสงสร้างความสว่างให้เกิดภาพ จอจะรวบรวมข้อมูลที่ได้รับทั้งหมดให้กลายเป็นจุดเดียว แล้วป้อนไปให้ที่ดวงตา ช่วยให้ผู้ตาบอดมองเห็นสิ่งนั้น
นักพัฒนาทั้งคู่กล่าวแจ้งว่า ในการทดลอง กล้องทำให้ผู้พิการทางสายตามองเห็นหน้าเพื่อนของตน และถึงกับถ่ายภาพได้
ตัวกล้องมีรูปร่างสี่เหลี่ยมโตประมาณ 5 นิ้ว ตั้งอยู่บนขาตั้ง เจ้าของแจ้งว่า ยังมีราคาถูกมากกว่าเครื่องส่องตรวจส่วนในของตาด้วยเลเซอร์ ซึ่งมีราคาอยู่ระหว่าง 140,000 ถึง 3,500,00 บาท

วันศุกร์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2552

ภาษารัก


ภาษาพม่า เรียกว่า จิต พา เด (chit pa de)
เขมร เรียกว่า บอง สรัน โอน (Bon sro Iahn oon)
เวียดนาม เรียกว่า ตอย ยิ่ว เอ๋ม (Toi yue em)
มาเลเซีย เรียกว่า ซายา จินตามู (Saya cintamu)
อินโดนีเซีย เรียกว่า ซายา จินตา ปาดามู (Saya cinta padamu)
ฟิลิปปินส์ เรียกว่า มาฮัล กะ ตา (Mahal ka ta)
ญี่ปุ่น เรียกว่า คิมิ โอ ไอ ชิเตรุ (Kimi o ai shiteru)
เกาหลี เรียกว่า โน รุย สะรัง เฮ (No-rui sarang hae)
เยอรมัน เรียกว่า อิคช์ ลิบ ดิกช์ (Ich Liebe Dich)
ฝรั่งเศส เรียกว่า เฌอแตม (Je t''''aime)
ฮอลแลนด์ (ดัชต์) เรียกว่า อิค เฮา ฟาวน์ เยา (Ik hou van jou)
สวีเดน เรียกว่า ย็อก แอลสการ์ เด (Jag a Lskar dig)
อิตาลี เรียกว่า ติ อโม (Ti amo)
สเปน เรียกว่า เตอ เควียโร (Te quiero)
รัสเซีย เรียกว่า ยาวาส ลุยบลิอู (Ya vas Liubliu)
โปรตุเกส เรียกว่า อโม-เท (Amo-te)
จีนกลาง เรียกว่า หว่อ อ้าย หนี่ (Wo ai ni)
จีนแคะ เรียกว่า ไหง อ้อย หงี (Ngai oi ngi)
ฮกเกี้ยน เรียกว่า อั๊ว ไอ้ ลู่ (Auo ai Lu)
ตุรกี เรียกว่า เซนี เซวีโยรัม (Seni Seviyorum)

วันอาทิตย์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2552

การเฉลิมฉลองในวันขึ้นปีใหม่ของจีนทั้ง 15 วัน

ในวันแรกของวันขึ้นปีใหม่ตามจันทรคติ คือวันแห่งการต้อนรับเทพเจ้าแห่งสวรรค์และ โลกมนุษย์ ในวันแรกนี้คนส่วนใหญ่ จะละเว้นจากการรับประทานเนื้อสัตว์ เพราะเชื่อว่าการทำเช่นนี้ จะทำให้พวกเขามีชีวิตที่ยืนยาว และมีความสุข

ในวันที่สองของวันขึ้นปีใหม่ ชาวจีนจะสวดอ้อนวอนต่อ บรรพบุรุษและต่อเทพเจ้า พวกเขาจะปฏิบัติต่อสุนัขและเลี้ยงมันเป็นอย่างดี เนื่องว่าชาวจีนเชื่อว่า วันที่สองนี้เป็นวันเกิดของสุนัขทุกตัว

ในวันที่สามและสี่ จะเป็นวันสำหรับลูกหลานจะไปเคารพอวยพรต่อบิดามารดา ในวันที่ห้า จะเรียกวันนี้ว่าวัน Po Woo ในวันนี้ประชาชนจะอยู่กับบ้านเพื่อรอต้อนรับ เทพเจ้าแห่งความเงินทอง และจะไม่มีใครที่จะออกไป เยี่ยมครอบครัวและเพื่อนๆในวันนี้ เพราะจะเป็นการนำความโชคร้าย ไปสู่พวกเขาทั้งสองฝ่าย

ในวันที่หกจนถึงวันที่สิบของวันขึ้นปีใหม่ จะเป็นช่วงที่ชาวจีนออกไปเยี่ยม ญาติและเพื่อนๆ ตามอิสระ รวมไปถึงการไปสวดมนต์ที่วัดเพื่อให้มีสุขภาพและอนาคตที่ดี

ในวันที่สิบถึงวันที่สิบสอง จะเป็นวันที่เพื่อนและญาติ จะเชื้อเชิญกันไป รับประทานอาหารเย็น

สิ่งที่ไม่ควรทำตอนวันขึ้นปีใหม่ (วันตรุษจีน)

**ควรหลีกเลี่ยงการทำงานบ้านในวันขึ้นปีใหม่(วันตรุษจีน) เนื่องจากการทำงานบ้าน เช่น การซักล้าง หรือ การกวาดบ้านปัดฝุ่น จะเป็นการขับไล่ความโชคดีออกไป ดังนั้นการทำความสะอาดบ้านจึงควรเริ่มทำตั้งแต่ก่อนที่วันขึ้นปีใหม่จะมาถึง
**ไม่ควรสระผมในวันเริ่มต้นและวันสุดท้ายของวันขึ้นปีใหม่ เนื่องจากการสระผมถือเป็นการชะล้างความโชคดีที่มาถึงในวันขึ้นปีใหม่
**ไม่ควรใช้ของมีคมในวันขึ้นปีใหม่ ของมีคมต่างๆ เช่น มีด , กรรไกร , ที่ตัดเล็บ เนื่องจากถือว่าการกระทำของของมีคมนี้จะเป็นการตัดสิ่งหรืออนาคตที่ดี ที่จะนำมา ในวันขึ้นปีใหม่
**ควรระมัดระวังในการใช้คำพูดที่มีความหมายไปในทางลบรวมทั้งหลีกเลี่ยงการโต้เถียงกัน คำที่เกี่ยวข้องกับการเจ็บป่วยหรือความตายเป็นคำที่เราควรหลีกเลี่ยงในวันขึ้นปีใหม่
**หลีกเลี่ยงการเข้าร่วมกิจกรรมที่เกี่ยวกับงานศพ และการฆ่าสัตว์ปีก ควรระมัดระวังในการทำสิ่งใดๆ ไม่ควรที่จะให้เกิดการสะดุด หรือ ทำสิ่งของตกแตก ซึ่งนั่นจะหมายถึงการนำความโชคไม่ดีเข้ามาในอนาคต

ความหมายของตรุษจีน

วันตรุษจีน คือวันขึ้นปีใหม่ของจีน (วันที่ 1 เดือน 1 ของวันจีน) ถือเป็นเทศกาลใหญ่ ที่ประหนึ่งรวมเทศกาลวันตรุษ และอาจรวมเทศกาลไหว้สิ้นปี เข้ากับเทศกาลวันตรุษ ซึ่งจะต่างกับวันไทย และวันสากล ในขณะที่วันของไทย เป็นวันข้างขึ้น และข้างแรม เดือนหนึ่งมี 30 วัน ของจีนจะเป็นเดือนสั้น และเดือนยาว เดือนสั้นมี 29 วัน เดือนยาวมี 30 วัน

วันจีนจะช้ากว่าวันข้างขึ้น ข้างแรม ในปฏิทินอยู่ 2 เดือน ยกตัวอย่าง วันไหว้พระจันทร์ ตรงกับวันที่ 15 เดือน 8 เมื่อดูในปฎิทินจะเป็นขึ้น 15 ค่ำ เดือน 10 หรือสมมติว่าวันที่ 31 ธันวาคม 2535 ตรงกับวันขึ้น 8 ค่ำ เดือน 2 ก็คิดกลับเป็นวันจีนจะเป็นวันที่ 8 เดือน 12 จากนั้นนับต่อจากวันที่ 8 ไปเป็นวันที่ 9 เดือน 12 ของจีน คือ วันที่ 1 มกราคม 2536 นับไปเรื่อยๆ จนครบวันที่ 30 เดือน 12 ของจีน ซึ่งจะตรงกับวันที่ 22 มกราคม 2536 ของไทย ดังนั้นวันตรุษจีน คือ วันที่ 1 เดือน 1 ของจีน ก็จะตรงกับวันที่ 23 มกราคม 2536

วันสิ้นปีจะมีการไหว้ หลายอย่าง นิยมเรียกว่า "วันไหว้" มักเรียกวันก่อนหน้าวันไหว้ว่า "วันจ่าย" เพราะเป็นวันสุดท้ายที่จะจับจ่ายซื้อของไหว้ของใช้ต่างๆ ก่อนที่ร้านค้าจะปิดธุรกิจหลายวันการไหว้ตรุษจีนจะนิยมเรียกกันว่า "วันชิวอิด" แปลว่า วันที่ 1 มีความน่าสนใจตรงที่ว่า คนจีนจะไหว้ "ไช้ซิ้งเอี๊ย" หรือเทพเจ้าแห่งโชคลาภ"ในเวลากลางดึก เมื่อเวลาย่างเข้าวันตรุษหรือวันชิงอิดไช้ แปลว่า โชคซิ้ง และเอี๊ย แปลว่า เจ้า
นอกจากนี้เวลาไหว้ยังมีฤกษ์ยาม และทิศที่จะตั้งโต๊ะไหว้ ยังเป็นทิศ และเวลาเฉพาะในแต่ละปี เพื่อความเป็นสิริมงคล ของไหว้จะไหว้ง่ายๆ ด้วยส้ม และโหงวเส็กทึ้งกับนำชา ส้ม คนจีนเรียกว่า กา หรือ "ไต้กิก" แปลว่า โชคดี เพื่ออวยพรให้ลูกหลานโชคดี และใช้ให้เป็นของขวัญ...นำโชคมามอบให้แก่กันโหงวเส็กทึ้ง แปลว่า ขนม 5 สี ได้แก่ ถั่วตัด งาตัด ข้าวพอง ถั่วเคลือบน้ำตาล และฟักเชื่อม บางทีก็เรียกว่า "ขนมจันอับ" หรือ "แต่เหลียง" บางบ้านมีการไหว้อาหารเจแห้ง ให้แก่บรรพบุรุษด้วย บางบ้านนิยมเปิดไฟไว้ที่ศาลเจ้าที่ "ตี่จู่เอี๊ย" เพื่อรอรับวันที่เจ้าที่จะเสด็จกลับลงมาจากสวรรค์ในวันที่ 4 เดือน 1 ของจีน
ในวันตรุษจีน หรือวันชิวอิด ในหมู่คนจีนจะทราบกันว่า นี่คือ "วันถือ" ถือที่จะทำในสิ่งที่ดี และไม่ทำในสิ่งที่ไม่ดี ใส่เสื้อผ้าชุดใหม่สวยงาม ยิ้มแย้มแจ่มใส พูดแต่ "หออ่วย" แปลว่า คำดีๆ ไม่อารมณ์เสียหงุดหงิด ไม่ทำงานหนัก เพื่อที่ว่าตลอดปีจะได้ไม่ต้องทำงานหนักนัก ไม่กวาดบ้าน เพราะอาจปัดสิ่งดีๆ มีมงคลออกไป แล้วกวาดความไม่ดีเข้ามา เริ่มต้นเช้าวันตรุษ คนในบ้านก็จะทักทายกันด้วยคำอวยพร "ซินเจียยู่อี่ ซินนี้ฮวดไช้" หมายถึง เวลาใหม่ให้สมใจ ปีใหม่ให้สมปรารถนา
อั้งเปา" ในวันตรุษจีน มีคำจีนโบราณเรียกว่า "เอี๊ยบซ้วยจี๊" เป็นเงินสิริมงคลที่ผู้ใหญ่ให้แก่ลูกหลาน เพื่ออวยพรให้มีสุขภาพแข็งแรง และเจริญก้าวหน้า ธรรมเนียมหนึ่งในวันตรุษจีนคือการไป "ไป๊เจีย" หรือการไปไหว้ขอพร และอวยพรผู้ใหญ่ หรือญาติมิตร โดยส้มสีทอง 4 ผลห่อด้วยผ้าเช็ดหน้าผู้ชาย ที่นิยมใช้กันแต่ส้มสีทอง ไม่ใช้ส้มเขียว เพราะสีทองเป็นสีมงคล ทองอร่ามเรืองจะอวยพรให้รุ่งเรือง เช่นเดียวกับส้ม ที่คนจีนเรียกว่า ไต้กิก แปลว่า โชคดี ส้มสีทองที่มอบแก่กันคือ นัยอวยพรให้ "นี้นี้ไต้กิก" แปลว่า ทุกๆ ปีให้โชคดีตลอดไป
ส้มสีทอง 4 ใบ เมื่อเจ้าบ้านรับไป จะเป็นการรับไปเปลี่ยนว่าเปลี่ยนส้ม 2 ใบของแขกกับ 2 ใบของที่บ้าน แล้วคืนส้ม 4 ใบคืน ให้แขกนำกลับไป 2 ใบของที่บ้าน แล้วคืนส้ม 4 ใบ คืนให้แขกนำกลับไป หมายถึง การที่ต่างฝ่าย ต่างให้โชคดีแก่กันการติดฮู้ เป็นธรรมเนียมที่นิยมถือทำในวันตรุษจีน เช่น การติด "ฮู้" หรือยันต์แผ่นใหม่ เพื่อคุ้มครองบ้าน ติด "ตุ้ยเลี้ยง" หรือแผ่นคำอวยพรที่ปากทางเข้าบ้าน

ที่มาของวันตรุษจีน



วันตรุษจีน วันสำคัญของชาวจีนที่คนทั่วไปรู้จักกันมากที่สุดคือวันตรุษจีนเราลองมาฟังประวัติความเป็นมาของวันตรุษจีนกันดีกว่า..
"เหนียน" สัตว์ร้ายที่มาทุก 365 วัน คำเรียกวันตรุษจีนอีกวันหนึ่งคือ "ก้วยนี้"หรือ "ก้วยเหนียน" ที่แปลว่าข้ามปีหรือผ่านปี เล่ากันว่าในสมัยดึกดำบรรพ์ มีสัตว์ร้ายตัวหนึ่งชื่อว่า "เหนียน" จะเข้ามาในหมู่บ้านทุก 365 วัน โดยจะวนเวียนในหมูบ้านจนฟ้าสางก็จะกลับเข้าป่าไป จึงเป็นที่หวาดกลัวของชาวบ้านมาก ชาวบ้านจึงซ่อนตัวอยู่ในบ้านเพื่อไม่ให้ "เหนียน" พบตัวและทำอันตรายเมื่อ "เหนียน" กลับไปแล้ว ชาวบ้านจึงออกจากบ้านเรือน แล้วพูดว่าได้รอดพ้นจาก "ตัวเหนียน" มาอีกหนหนึ่ง คำว่า "เหนียน" นี้เองจึงแปลว่าปีในปัจจุบัน ต่อมามีวิธีคิดที่จะขับไล่ตัว "เหนียน" โดยสีแดงและการเผาลำไม้ไผ่ การเผาลำไม้ไผ่จึงกลายมาเป็นกำเนิดของประทัดในปัจจุบัน ส่วนสีแดงก็เป็นที่นิยมว่าเป็นสิริมงคล สื่อถึงความสุขความเจริญ



เหนียน ในภาษาจีนเป็นอักษรโบราณที่มีใช้มาตั้งแต่ยุคโลหะของจีน (เรียกอักษรจินจื้อถี่) ซึ่งยังคงความเป็นอักษรภาพ
หากวิเคราะห์อักษรเหนียนโนราณ จะเป็นภาพซ้อนของภาพสองภาพในลักษณะบนล่าง ภาพบนเป็นตัวหมี่(ข้าว) ภาพล่างเป็นตัวเหริน(คน) ซึ่งหมายถึงคนกำลังแบกขนข้าว
เหนียน จึงแทนการเก็บผลิตผล
เทศกาลกั่วเหนียน หรือตรุษจีน ในอดีตจึงเป็นการเฉลิมฉลองการเก็บเกี่ยว ซึ่งทำกันก่อนอากาศหนาวมาเยือน
แต่เมื่อเวลาผ่านไป การเฉลิมฉลองเหนียนถูกเปลี่ยนวัตถุประสงค์จากเดิมไปเป็นการฉลองศักราชใหม่

วันพฤหัสบดีที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2552

Reported Speech

เมื่อจะนำคำพูดของใครไปเล่าให้ผู้อื่นฟัง อาจมีวิธีพูดได้ 2 วิธี คือ1. โดยยกคำพูดจริง ๆ ของผู้พูดไปเล่าให้ฟังทั้งหมดโดยไม่เปลี่ยนแปลง เรียกว่า Direct Speech
เช่นJohn said, "I like Mathematics."ข้อความว่า "I like Mathematics" เป็น Direct Speech
2. โดยดัดแปลงเป็นคำพูดของผู้เล่าเอง เรียกว่า Indirect Speech หรือ Reported Speech
เช่นJohn said (that) he liked Mathematics.ข้อความว่า "he liked Mathematics" ดัดแปลงมาจากคำพูดของ John ที่พูดว่า "I like Mathematics"ดังนั้นข้อความนี้จึงเป็น Indirect Speech หรือ Reported Speech
**คำกริยาที่ใช้กับ Reported Speech เรียกว่า กริยานำ (Reporting Verbs หรือ Introducing Verbs) เช่น1. say (said) = พูดว่า2. know (knew) = รู้ว่า3. hope (hoped) = หวังว่า4. think (thought) = คิดว่าเช่น(1) John said, "I like Mathematics."(2) John said (that) he liked Mathematics.คำกริยา said ในประโยค (1) เรียกว่า กริยานำ (Reporting Verb หรือ Introducing Verb)ข้อความว่า (that) he liked Mathematics ในประโยค (2) เรียกว่า คำเล่า (Indirect Speech หรือ Reported Speech)
Reported Speech มี 3 แบบใหญ่ ๆ คือ1. Reported Statement (บอกเล่าและปฏิเสธ)2. Reported Request and Command (ขอร้องและคำสั่ง)3. Reported Questions (คำถาม)ซึ่งมีวิธีการเปลี่ยนจาก Direct Speech เป็น Reported Speech ที่แตกต่างกันดังนี้
1. Reported Speech แบบ Reported Statementมีวิธีการเปลี่ยนจาก Direct Speech เป็น Reported Speech ดังนี้(1) ตัดเครื่องหมาย comma (,) ออก

(2) จะเติม that หลัง Reporting Verbs หรือไม่ก็ได้
(3) ตัดเครื่องหมายคำพูด (Quotation mark) ออก
(4) เปลี่ยนสรรพนามในคำพูดให้เข้ากับผู้พูด
(5) เปลี่ยน Tense ของคำกริยาในคำพูดให้เข้ากับ Reporting Verbs ซึ่งมี 2 แบบใหญ่ ๆ ดังนี้
5.1 ถ้ากริยานำเป็นปัจจุบัน (Present) ไม่ต้องเปลี่ยนแปลง Tense ใน Reported Speech เช่นDirect Speech : John says, "I like Mathematics."=>Reported Speech : John says (that) he likes Mathematics.(like และ likes เป็นคำกริยาช่องที่ 1 = Present Simple Tense ทั้งคู่)
5.2 ถ้ากริยานำเป็นอดีต (Past) ต้องเปลี่ยนแปลง Tense ใน Reported Speech ดังนี้1) Present Simple Tense เปลี่ยนเป็น Past Simple Tense เช่นDirect Speech : John said,
"I like Mathematics."=> Reported Speech : John said (that) he liked Mathematics.
2) Present Continuous Tense เปลี่ยนเป็น Past Continuous Tense
เช่นDirect Speech : Jenny said, "I am not going to Bangkok."=> Reported Speech :
Jenny said (that) she was not going to Bangkok.
3) Present Perfect Tense เปลี่ยนเป็น Past Perfect Tense เช่นDirect Speech : Tom said, "I have finished my work."=> Reported Speech : Tom said (that) he had finished his work.
4) Past Simple Tense เปลี่ยนเป็น Past Perfect Tense เช่นDirect Speech : Malee said,
"I went to Bangkok."=> Reported Speech : Malee said (that) she had gone to Bangkok.
5) will เปลี่ยนเป็น would เช่นDirect Speech : John and Tom said, "We will go to Bangkok."=> Reported Speech : John and Tom said (that) they would go to Bangkok.
6) shall เปลี่ยนเป็น should เช่นDirect Speech : They said, "We shall go to Bangkok."=> Reported Speech : They said (that) they should go to Bangkok.
7) can เปลี่ยนเป็น could เช่นDirect Speech : Jim said, "I can't speak Thai."=> Reported Speech : Jim said (that) he couldn't speak Thai.
8) may เปลี่ยนเป็น might เช่นDirect Speech : Peter said, "I may not go to Bangkok."
=> Reported Speech : Peter said (that) he might not go to Bangkok.
9) must เปลี่ยนเป็น had to เช่นDirect Speech : My mother said, "I must go to Bangkok."=> Reported Speech : My mother said (that) she had to go to Bangkok.
***ข้อควรจำเพิ่มเติม

1. ถ้าใน Direct Speech
มีคำหรือข้อความที่เป็นเวลาให้เปลี่ยนดังนี้Direct Speech => Reported Speech
now => then
today => that day
yesterday => the day before / the previous day
tonight => that nighttomorrow => the next day / the following day
next (week) => the following (week)
ago => before
last (week) => the previous (week)
the day before yesterday => earlier / two days beforethe
day after tomorrow => later in two day's time / two days after
a year ago => a year before / the previous year
2. ถ้าใน Direct Speech มีคำหรือข้อความที่แสดงความใกล้-ไกลให้เปลี่ยนดังนี้Direct Speech => Direct Speechhere => therethis => thatthese => those
3. Reported Speech แบบ Reported Request and Commandการเปลี่ยนประโยคขอร้อง ขออนุญาต หรือคำสั่ง (Request or Command) เป็น Reported Speech มีวิธีการเปลี่ยน Tense คำหรือข้อความบอกเวลา และคำหรือข้อความที่บ่งบอกความใกล้-ไกล เหมือนกับ Reported Statement แต่มีที่แตกต่างกัน คือ(1) ใช้กริยานำ คือ tell/told (บอก), order/ordered (สั่ง), ask/asked (ขอร้อง), command/commanded (สั่ง)

(2) ใช้ (not) to เป็นตัวเชื่อม
(3) ถ้า Direct Speech ไม่มีกรรม (object) ให้เติมกรรมลงไปใน Reported Speech ด้วย
(4) ถ้ามีคำว่า Please ให้ตัดออกเช่นDirect Speech : He said, "Please don't make aloud noise."=> Reported Speech : He told him not to make aloud noise.
(1) เปลี่ยนกริยานำจาก said เป็น told
(2) ใช้ not to เป็นตัวเชื่อมเพราะ Direct Speech เป็นปฏิเสธ (don't)
(3) เติมกรรม (him) เพราะ Direct Speech ไม่มีกรรม
(4) ตัดคำว่า Please ออก
Direct Speech : She told us, "Come to the party tomorrow."=> Reported Speech : She told us to come to the party the following day.

(1) ใช้กริยานำว่า told เพราะ Direct Speech ใช้ told
(2) ใช้ to เป็นตัวเชื่อมเพราะ Direct Speech เป็นบอกเล่า (Come)
(3) ใช้คำว่า us เป็นกรรมเพราะ us เป็นกรรมของกริยา told อยู่แล้ว
(4) เปลี่ยน tomorrow เป็น the following day
Direct Speech : She asked her father, "Let me go to Chiangrai with Ludda."=> Reported Speech : She asked her father to let her go to Chiangrai with Ludda.

(1) ใช้กริยานำว่า asked เพราะ Direct Speech ใช้ asked
(2) ใช้ to เป็นตัวเชื่อมเพราะ Direct Speech เป็นบอกเล่า (Let)
(3) เปลี่ยนกรรมจากคำว่า me เป็น her เพราะเป็นคำพูดของผู้หญิง (She)
3. Reported Speech แบบ Reported Questionการเปลี่ยนประโยคคำถาม (Question) เป็น Reported Speech มีวิธีการเปลี่ยน Tense คำหรือข้อความบอกเวลา และคำหรือข้อความที่บ่งบอกความใกล้-ไกลเหมือนกับ Reported Statement แบ่งออกเป็น 2 ประเภทตามลักษณะของคำถาม คือ

(1) ประโยคคำถามที่ขึ้นต้นด้วยกริยาช่วย (Yes/No Questions) เมื่อเปลี่ยนเป็น Reported Speech ให้ทำดังนี้1.1 ใช้กริยานำ คือ ask/asked (ถามว่า), inquire/inquired (ถามว่า),wonder/wondered (สงสัยว่า, อยากรู้ว่า),want to know/wanted to know (อยากรู้ว่า)1.2 ใช้ if หรือ whether เป็นตัวเชื่อม มีความหมายว่า "ใช่หรือไม่" (จะใช้คำใดก็ได้)1.3 เรียงคำในประโยคให้อยู่ในรูปของประโยคบอกเล่าเช่นDirect Speech : They asked, "Can we leave now?"=> Reported Speech : They asked if they could leave then
(1) ใช้กริยานำว่า asked เพราะประโยคที่มี Direct Speech มีกริยานำว่า asked อยู่แล้ว
(2) ใช้ if เป็นตัวเชื่อม
(3) เปลี่ยนคำบอกเวลาจากคำว่า now เป็น then
(4) เปลี่ยน we เป็น they เพราะผู้พูดคือ They
(5) เรียงคำที่เปลี่ยนจาก Direct Speech ให้อยู่ในรูปของประโยคบอกเล่า คือ ประธาน + กริยา + ….……(จากเดิม Can we …..…. เป็น They could ………)
Direct Speech : She said to me, "Does Jim like Thai food?"=> Reported Speech : She asked me whether Jim liked Thai food.

(1) เปลี่ยนกริยานำจาก said เป็น asked
(2) ใช้ whether เป็นตัวเชื่อม
(3) เปลี่ยน like จากช่องที่ 1 เป็นช่องที่ 2 คือ liked
(4) เรียงคำที่เปลี่ยนจาก Direct Speech ให้อยู่ในรูปของประโยคบอกเล่า คือ ประธาน + กริยา + ….……(จากเดิม Does Jim like …..…. เป็น Jim liked ………)
2. ประโยคคำถามที่ขึ้นต้นด้วย Question words (Wh- Questions) เมื่อเปลี่ยนเป็น Reported Speech ให้ทำดังนี้

2.1 ใช้กริยานำ คือ ask/asked (ถามว่า),inquire/inquired (ถามว่า),wonder/wondered (สงสัยว่า, อยากรู้ว่า),want to know/wanted to know (อยากรู้ว่า)
2.2 ใช้ Question words เป็นตัวเชื่อม
2.3 เรียงคำในประโยคให้อยู่ในรูปของประโยคบอกเล่าเช่นDirect Speech : They asked, "Who can speak English?"=> Reported Speech : They asked who could speak English.
(1) ใช้กริยานำว่า asked เพราะประโยคที่มี Direct Speech มีกริยานำว่า asked อยู่แล้ว
(2) ใช้ who เป็นตัวเชื่อม เพราะ who เป็น question word
(3) เปลี่ยน can เป็น could
(4) ข้อความใน Direct Speech เรียงคำอยู่ในรูปของประโยคบอกเล่าอยู่แล้ว คือ ประธาน + กริยา + ……จึงคัดลอกลงใน Reported Speech ได้เลย
Direct Speech : She said to me, "When will Jim go to Japan?"=> Reported Speech : She asked me when Jim would go to Japan.

(1) เปลี่ยนกริยานำจาก said เป็น asked
(2) ใช้ when เป็นตัวเชื่อม เพราะ when เป็น question word
(3) เปลี่ยน will เป็น would(4) เรียงคำที่เปลี่ยนจาก Direct Speech ให้อยู่ในรูปของประโยคบอกเล่า คือ ประธาน + กริยา + ….……(จากเดิม will Jim go …..…. เป็น Jim would go ………)

วันเสาร์ที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2552

ข้อแตกต่างระหว่างธนบัตรรัฐบาล -- ธนบัตรปลอม

Image Hosted by ImageShack.usธนบัตรรัฐบาล

กระดาษเหนียวแกร่ง ไม่เปื่อยหรือยุ่ยง่าย

มีเส้นใยใสฝังอยู่เนื้อกระดาษตามแนวยืน มองเห็นยากเมื่อวางราบ แต่เมื่อส่องกล่องดูกับแสงสว่างจะเห็นได้อย่างชัดเจน แล้วมีคำว่า"ประเทศไทย" หรือ"ทรงพระเจริญ" หรือ 100 บาท หรือ 500 บาท หรือ 1000 บาท

มีลายน้ำพระบรมฉายาสาทิศลักษณ์ในเนื้อกระดาษส่วนที่ว่าง จะเห็นชัดเจน เมื่อส่องดูกับแสงสว่างและลายประจำยาม โปร่งแสงพิเศษ

พิมพ์ด้วยระบบเส้นนูน เมื่อใช้ปลายนิ้วมือลูบสัมผัสตัวอักษรคำว่ารัฐบาลไทย"ธนบัตร"ป็นเงินที่ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย"ตัวเลขบอกราคามุมขวาบนและตัวอักษรได้ตามกฎหมาย"ตัวเลขบอกราคามุมขวาบนและตัวอักษรงราราบนด้านหน้าของธนบัตร จะรู้สึกสะดุด

ธนบัตรชนิดราคา 100 500 และ 1000 บาท ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน จะมีตัวเลขแฝงภายในลวดลายเส้นนูน ภายในลวดลายเส้นนูน มุมขวาด้านล่าง เมื่อเอียงธนบัตรเข้าหาแสงสว่าง เมื่อเอียงธนบัตร เข้าหาแสงสว่างให้ได้มุมมองที่เหมาะสม จะปรากฎตัวเลข 100 500 และ 1000 ตามชนิดราคาธนบัตร

ความชัดเจนของลวดลายและภาพ โดยเฉพาะที่พระบรมฉายาสาทิสลักษณ์ จะมีลายเส้นละเอียดคมชัด

ธนบัตรปลอม

เนื้อกระดาษไม่เหนียวแกร่ง เปื่อยยุ่ยงาย บางฉบับเนื้อกระดาษมันและลื่น

ส่วนใหญ่ ไม่มีเส้นใยใสฝังอยู่ในเนื้อกระดาษ แต่จะพิมพ์เป็นเส้นเห็นได้ชัดเจน แม้วางในแนวรอบบางฉบับอาจมีเส้นใยฝังอยู่ในเนื้อกระดาษ แต่จะไม่มีตัวเลข หรือตัวอักษรใดๆปรากฎอยู่บนเส้นใย

อาจมีลายน้ำปลอม เห็นเป็นภาพพิมพ์อยู่ด้านหน้าหรือด้านหลังและต่างกับพระบรมฉายาสาทิสลักษณ์จริงเมื่อส่องดูกับแสงสว่างอาจเห็นเลือนลาง และบางฉบับไม่มีลายน้ำเลย

พิมพ์ด้วยระบบออฟเซทธรรมดา หรือถ่ายเอกสารสอดสีเมื่อใช้ปลายนิ้วลูบ หรือสัมผัสจะไม่มีจุดใดที่รู้สูกสะดุด

บางฉบับจะมองไม่เห็นตัวเลขแฝงเลย บางฉบับอาจมองเห็นได ้โดยไม่ต้องเอียงธนบัตร

ลายเส้นและลวดลายประดิษฐ์ต่างๆ จะหยาบไม่คมชัด และสีซีดจาง หรือสีสดใสเป็นมัน

วันพฤหัสบดีที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2552

ต้นกำเนิดหมีพูห์


ต้นกำเนิดหมีพูห์

Alan Alexander Milne คือผู้สร้างการ์ตูน winnie the pooh เขาเกิดในครอบครัวครู เมื่อวันที่ 18 มกราคม ค.ศ.1882 เริ่มหัดอ่านหนังสือตั้งแต่อายุเพียง 2 ขวบ เมื่ออายุ 24 ปี ได้เป็นบรรณาธิการหนังสือแนวเสียดสีชื่อ "Punch" ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ขณะเขาเป็นทหารได้ใช้เวลาว่างในการเขียนบทละครเรื่อง "Mr. Pim Passes By" ซึ่งโด่งดังมากในปี ค.ศ.1919


ต้นกำเนิดของหมีพูห์เริ่มจากการที่ทหารกองทัพแคนาดา ได้นำหมีน้อยตัวหนึ่งชื่อว่า "วินนี่ เพ็ก" ให้แก่ประเทศอังกฤษ เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของการร่วมรบระหว่างกองทัพแคนาดาและอังกฤษ ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 (ค.ศ.1914-1918) หมีน้อยตัวนี้ได้ไปอยู่ในสวนสัตว์ของกรุงลอนดอนในปี 1919 ซึ่งเป็นที่ชื่นชอบของชาวลอนดอนมาก รวมถึงหนูน้อย "คริสโตเฟอร์ โรบิน" ลูกชายของ A.A. Milne หนูน้อยคริสโตเฟอร์ นำชื่อหมีวินนี่ เพ็ก ไปตั้งชื่อตุ๊กตาหมีตัวโปรดของเขาว่า "winnie the pooh" โดยคำว่า "พูห์" (Pooh) เป็นชื่อของหงส์ในกวีบทหนึ่ง ต่อมา A.A. Milne จึงเริ่มเขียนเรื่องราวของ winnie the pooh และเพื่อนพ้องของมัน โดยหนังสือวางจำหน่ายเมื่อปี ค.ศ.1926


กระทั่งปี 1996 ที่ผ่านมา มียอดขายหนังสือถึง 20 ล้านเล่ม แปลเป็นภาษาต่างๆ มากกว่า 25 ภาษา ในขณะเดียวกัน Walt Disney ซื้อลิขสิทธิ์หมีพูห์และนำไปสร้างการ์ตูนบนแผ่นฟิล์ม พร้อมกับผลิตภัณฑ์มากมายก่ายกอง ทำให้หมีพูห์เป็นการ์ตูนยอดฮิตอันดับ 2 ของเด็กอเมริกันรองจาก มิกกี้ เมาส์ สำหรับตัวผู้วาดการ์ตูนหมีพูห์มีชื่อว่า E.H. Shepard

สมอง


สมอง คืออวัยวะสำคัญในสัตว์หลายชนิดตามลักษณะทางกายวิภาค หรือที่เรียกว่า encephalon จัดว่าเป็นส่วนกลางของระบบประสาท คำว่า สมอง นั้นส่วนใหญ่จะเรียกระบบประสาทบริเวณหัวของสัตว์มีกระดูกสันหลัง คำนี้บางทีก็ใช้เรียกอวัยวะในระบบประสาทบริเวณหัวของสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังอีกด้วย

สมองมีหน้าที่ควบคุมและสั่งการการเคลื่อนไหว, พฤติกรรม และรักษาสมดุลภายในร่างกาย (homeostasis) เช่น การเต้นของหัวใจ, ความดันโลหิต, สมดุลของเหลวในร่างกาย และอุณหภูมิ เป็นต้น หน้าที่ของสมองยังมีเกี่ยวข้องกับการรับรู้ (cognition) อารมณ์ ความจำ การเรียนรู้การเคลื่อนไหว (motor learning) และความสามารถอื่น ๆ ที่เกี่ยวกับการเรียนรู้

สมองประกอบด้วยเซลล์สองชนิด คือ เซลล์ประสาท และเซลล์เกลีย เกลียมีหน้าที่ในการดูแลและปกป้องนิวรอน นิวรอนหรือเซลล์ประสาทเป็นเซลล์หลักที่ทำหน้าที่ส่งข้อมูลในรูปแบบของสัญญาณไฟฟ้าที่เรียกว่า ศักยะทำงาน (action potential) การติดต่อระหว่างนิวรอนนั้นเกิดขึ้นได้โดยการหลั่งของสารเคมีชนิดต่าง ๆ ที่รวมเรียกว่า สารสื่อประสาท (neurotransmitter) ข้ามบริเวณระหว่างนิวรอนสองตัวที่เรียกว่า ไซแนปส์ สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง เช่น แมลงต่าง ๆ ก็มีนิวรอนอยู่นับล้านในสมอง สัตว์มีกระดูกสันหลังขนาดใหญ่มักจะมีนิวรอนมากกว่าหนึ่งร้อยล้านตัวในสมอง สมองของมนุษย์นั้นมีความพิเศษกว่าสัตว์ตรงที่ว่ามีความซับซ้อนและใหญ่กว่าเมื่อเทียบกับขนาดตัวของมนุษย์

วันนี้เกร็ดความรู้มีวิธีสังเกตอาการของผู้ที่เสี่ยงเป็นโรคหลอดเลือดสมองมาฝากกัน....

โรคหลอดเลือดสมองเป็นโรคที่เกิดจากการสูญเสียหน้าที่การทำงานของสมองอย่างเฉียบพลันแบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ โรคหลอดเลือดสมองอุดตัน และโรคหลอดเลือดสมองแตก 80% จะเป็นชนิดหลอดเลือดสมองอุดตัน เกิดจากการมีลิ่มเลือดอุดตันหลอดเลือดในสมอง (Ischemic stroke) 20% จะเป็นชนิดหลอดเลือดสมองแตก เกิดจากการแตกของหลอดเลือดทำให้เกิดเลือดคั่งในเนื้อสมอง (Hemorrhagic stroke) ทำให้เกิดเลือดคั่งในเนื้อสมอง (Hemorrhagic stoke)

อาการของผู้ที่เสี่ยงเป็นโรคหลอดเลือดสมอง มีดังนี้

1. มีอาการแขนขาอ่อนแรงครึ่งซีก ปากเบี้ยวหรือชาครึ่งซีก เป็นทันทีทันใด

2. พูดไม่ออก ฟังไม่เข้าใจภาษา พูดอ้อแอ้ไม่ชัด เป็นทันทีทันใด

3. ตาข้างใดข้างหนึ่งมองไม่เห็นหรือมองไม่เห็นครึ่งซีกของลานสายตา หรือเห็นภาพซ้อน เป็นทันทีทันใด

4. เวียนศีรษะ บ้านหมุน รู้สึก โคลงเคลง เดินเซ คล้ายคนเมาเหล้า เป็นทันทีทันใด

5. ปวดศีรษะอย่างรุนแรงและไม่เคยเป็นมาก่อน ร่วมกับอาเจียนหรือหมดสติเป็นทันทีทันใด