วันจันทร์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

Expression สำนวนฝรั่งเศส

1.« Avoir la science infuse. » : Savoir sans avoir appris. / Prétendre tout savoir. [รู้เอง, อ้างว่ารู้ทุกเรื่อง]
2.« Avoir les boules. » : Être très énervé, En avoir assez, Avoir peur. [หงุดหงิด, เบื่อ, กลัว]
3.« As de pique. » : Personne à l'apparence bizarre ou mal habillée. [คนที่มีลักษณะแปลกๆ หรือ แต่งตัวไม่ดี]
4.« Battre son plein » : Arriver à son moment le plus intense. / Être à son point de plus grande activité. [(ถึงจุด, เป็นที่นิยม, เดินเครื่อง, ทำงาน, ...) สูงสุด, เต็มที่, เข้มข้น, ...]
5.« Blanchir sous le harnais » : Exercer longtemps le même métier. Acquérir une expérience reconnue dans un domaine. [ประกอบอาชีพ(เดิม)มานาน / มีประสบการณ์ เป็นที่ยอมรับในด้านใดด้านหนึ่ง]
6 .« Bourrer le mou » :Raconter des mensonges. /Chercher à tromper. [โกหก, กล่าวเท็จ / พยายามหลอกลวง]
7. Bille en tête » : Avec audace, franchement, carrément. [ด้วยความกล้าหาญ, อย่างตรงไปตรงมา, อย่างหนักแน่น]Par extension, sans réfléchir. (ความหมายที่ขยายออกไป) [โดยไม่คิดหรือตรึกตรอง]
8. Battre la semelle » : Attendre en marchant (ou faire les cent pas). [รอคอย ด้วยการเดินไปเดินมา
(หรือ ด้วยความกังวล)]
9« Le bran de Judas » : Les taches de rousseur. [กระบนใบหน้า]
10« Boire le calice jusqu'à la lie » : Souffrir jusqu'au bout un mal ou une douleur. / Subir une humiliation complète. / Supporter une épreuve pénible jusqu'à son terme. [ทนเจ็บปวดหรือทุกข์ทรมานจนถึงที่สุด] / [ทนรับการดูหมิ่นดูแคลนทั้งหมด] / [ยืนหยัดในการทดสอบที่ยากลำบากจนถึงที่สุด]

VOCABULAIRE

Le petit déjeuner [เลอ เปอ-ติ เด-เชอ-เน] (n.m.) [le matin] : อาหารเช้า
โดยทั่วไปแล้ว ชาวฝรั่งเศสจะรับประทาน tartine (n.f) คือ ขนมปังทาเนย [pain beurré] (n.m.) กับแยม [confiture] (n.f.) หรือ นํ้าผึ้ง [miel] (n.m.) สำหรับเครื่องดื่ม จะดื่ม เครื่องดื่มร้อนๆ [boisson chaude] (n.f.) เช่น กาแฟ [café] (n.m.), ชา [thé] (n.m.), นม [lait] (n.m.) หรือ ช๊อกโกแลตร้อนๆ [chocolat chaud] (n.m.) ซึ่งจะดื่มในชาม [bol] (n.m.) หรือถ้วย [tasse] (n.f.) บางคนก็จะรับประทานธัญญาพืช [céréals] (n.f. pl.), ไข่ลวก [oeuf à la coque] (n.m.) และดื่มนํ้าผลไม้สดๆ [jus de fruits] (n.m) ส่วน ครัวซอง [croissant] (n.m.) ชาวฝรั่งเศสจะไปรับประทานที่ร้านกาแฟ [bistrot] (n.m.) หรือที่บ้านในโอกาสสำคัญเช่นวันอาทิตย์
Le déjeuner [เลอ เด-เชอ-เน] (n.m.) [entre 12 h et 14 h] : อาหารกลางวัน
โดยทั่วไปแล้ว อาหารมื้อกลางวันจะประกอบไปด้วย อาหารจานแรกหรืออาหารเรียกนํ้าย่อย [entrée] (n.f.) อาหารจานหลัก [plat] (n.m.) ที่เป็นเนื้อ [viande] (n.f.) หรือ ปลา [poisson] (n.m.) เคียงกับผัก [légume] (n.m.) ตามด้วยเนยแข็ง [fromage] (n.m.) หรือ ของหวาน [dessert] (n.m.) ซึ่งอาจจะเป็นผลไม้ หรือ โยเกิร์ต [yaourt] (n.m.) ก็ได้
Le goûter [เลอ กู๊ต-เต] (n.m.) [vers 16 h] : อาหารว่าง (ระหว่างมื้อกลางวันกับมื้อคํ่า)
เป็นอาหารมื้อเล็กๆสำหรับเด็กๆหลังเลิกเรียน (เพราะชาวฝรั่งเศสเริ่มรับประทานอาหารคํ่าค่อนข้างดึก ตั้งแต่ 19.30 ถึง 20.30) อาหารว่างนี้จะคล้ายกับอาหารเช้ามาก บ่อยๆแม่บ้านมักจะเตรียมขนมปังช๊อกโกแลต [pain au chocolat] (n.m.) หรือ ขนมปังก้อนนุ่มๆ [brioche] (n.f.) หรือไม่ก็ ขนมปังทาเนยและแยม [tartine] โดยอาจจะมีเครื่องดื่มร้อนๆเช่นช๊อกโกแลตร้อนๆด้วยก็ได้
Le dîner [เลอ ดิ-เน่] (n.m.) [le soir] : อาหารคํ่า
โดยทั่วไปแล้วจะเหมือนกับอาหารมื้อกลางวัน เพียงแต่ในฤดูหนาวอาจจะมีซุปหรือซุปนํ้าข้นจากผักเพิ่มขึ้น [soupe] (n.f.) [potage] (n.m.)
นอกจากอาหารมื้อหลักแล้ว อาจจะมีอาหารมื้อพิเศษเฉพาะบางคนและบางโอกาสได้อีกเช่น
Le souper [เลอ ซุ-เป้่] (n.m.) [le soir, souvent après la sortie] : อาหารคํ่า หรือ อาหารเบาๆเมื่อออกไปเที่ยวในตอนคํ่า
สำหรับบางคนจะถือเป็นอาหารเย็น ส่วนประกอบจึงเหมือนกับ อาหารคํ่า [dîner] แต่สำหรับผู้ที่รับประทานอาหารคํ่ามาแล้ว ก็จะเป็นอาหารเบาๆก่อนนอน [repas léger]
Le brunch [เลอ บรันช์่] (n.m.) [vers 11h et midi] : อาหารเช้า - กลางวัน
สำหรับคนที่นอนตื่นสาย ลักษณะจึงเป็นการผสมระหว่างอาหารเช้าและอาหารกลางวัน แต่จะหนักไปทางมื้อกลางวัน
Une pause-café [อืน โปส-กา-เฟ่] (n.f.) [vers 10h et 10h et demie] : การหยุดพักดื่มกาแฟ
บางคนก็แค่เพียงดื่มกาแฟหรือเครื่องดื่มร้อนหรือเย็นก็ได้สักแก้วหนึ่ง บางคนก็อาจจะรับประทานขนมหรือของว่างนิดหน่อย เช่น แซนวิช ก่อนกลับเข้าไปทำงานต่อ
Une collation [อืน กอล-ลา-ซิ-ยอง] (n.f.) : อาหารว่าง หรืออาหารมื้อเบาๆ
เป็นมื้อที่ไม่มีการจำกัดเวลา หิวเมื่อไหร่ก็รับประทานได้ทุกเมื่อ เป็นอาหารมื้อเบาๆรองท้องก่อนมื้อหลัก มักจะเป็นช่วงระหว่างเดินทาง อาหารที่สะดวกได้แก่พวก แซนวิช แฮมเบอร์เกอร์ ...
Un repas simple [อัง เลอ-ปา แซง(เปลอ)] (n.m.) : มื้ออาหารธรรมดาๆ
• (ตัวอย่างมื้ออาหารธรรมดา) : - สลัดผักปรุงรส [salade verte assaisonnée] ด้วย นํ้าซ๊อสสลัดแบบเปรี้ยว [sauce vinaigrette (= huile, vinaigre, sel, poivre)] ผสม ใบหรือพืชสมุนไพรเพื่อแต่งรสหรือกลิ่น [herbes] เนื้อซี่โครงลูกแกะกระทะ [côtelettes d'agneau à la poêle] มันฝรั่งอบเคลือบหน้าด้วยเนยแข็ง [gratin de pomme de terre] ตามด้วยสลัดผลไม้ [salade de fruits] หรือแค่เพียง โยเกิร์ติ [yaourt]- สำหรับเครื่องดื่ม อาจจะเป็น ไวน์แดงธรรมดา [un petit vin rouge (# un "grand" vin, un vin de très grande qualité)]
Un repas rapide [อัง เลอ-ปา รา-ปิด(เดอ)] (n.m.) : มื้ออาหารแบบเร่งด่วน
• (ตัวอย่างมื้ออาหารแบบเร่งด่วน) : สำหรับผู้ที่รีบเร่ง [être pressé] หรือไม่ชอบใชเวลามากนักในการเตรียมอาหาร- อาหารปรุงเสร็จเรียบร้อย [plats tout préparés] ซื้อจากร้านคนปรุงอาหารสำเร็จรูป [chez le traiteur] หรือไม่ก็อาหารแช่แข็ง [des surgelés] จากตู้แช่แข็ง [congélateur] ใส่เตาอบไมโครเวฟ [ four à micro-ondes] ซึ่งใช้เวลาปรุงเสร็จภายในไม่กี่นาที แน่นอนว่าไม่ใช่อาหารแบบเลิศรส [un repas gastronomique] แต่ก็เหมาะกับผู้ที่ไม่เน้นเรื่องการกินมากนัก[gourmande]
Un repas pique-nique [อัง เลอ-ปา ปิ๊ก-นิ๊ก(เกอ)] (n.m.) : มื้ออาหารแบบไปปิ๊กนิค
• (ตัวอย่างมื้ออาหารสำหรับไปปิ๊กนิค) - อาหารแบบง่ายๆเช่น ผลิตภัณฑ์จากเนื้อหมู [de la charcuterie (ใส้กรอกแห้ง [du saucisson] เนื้อหรือตับบด[du paté] หมูแฮม[du jambon blanc] หรือหมูแฮมดิบ [du jambon cru] ขนมปังฝรั่งเศส [une baguette](= du pain) และสลัดข้าว [une salade de riz] ใส่มะเขือเทศ [des tomates] พริกหยวก [des poivrons] ผลมะกอกดำ [des olives noires] และ กาแฟร้อนๆ [du café chaud] บรรจุในกระติกนํ้าร้อน [un thermos]
Un repas de fête [อัง เลอ-ปา เดอ แฟ๊ต(เตอ)] (n.m.) : มื้ออาหารสำหรับการฉลองหรืองานเลี้ยง
• (ตัวอย่างมื้ออาหารสำหรับการฉลองหรืองานเลี้ยง) - สำหรับมื้ออาหารคืนก่อนวันคริสมาสต์ [le réveillon de Noël (= le soir du 24 décembre)] ชาวฝรั่งเศสจะเสิร์ฟอาหารตามประเพณีนิยม [un dîner traditionnel] : สำหรับอาหารจานแรกหรืออาหารเรียกนํ้าย่อย [en entrée] ได้แก่ หอยนางรม [des huîtres] ดื่มกับไวน์ขาวแบบบาดคอหน่อย [un vin blanc sec ] สำหรับอาหารจานหลักได้แก่ [comme plat principal] ไก่งวงอบยัดไส้ด้วยลูกเกาลัด [une dinde aux marrons (= farcie avec des marrons)] ดื่มกับไวน์แดงบอร์โด [un bon bordeaux rouge] แถมด้วยเนยแข็งหลากหลายชนิดจากฟาร์ม [un beau plateau de fromages "fermiers" (# industriels)] ตบท้ายด้วยของหวาน [comme dessert] คือ ขนมเค๊กรูปท่อนซุงที่ขึ้นชื่อ [la fameuse bûche de Noël (= gâteau à la crème)] ดื่มกับ เชมเปญ [du champagne]
La cuisine traditionnelle [ลา กุย-ซีน(เนอ) ทรา-ดิ-ซิ-ออง-แนล(เลอ)] (n.f.) : อาหารแบบดั้งเดิม
• ชาวฝรั่งเศสส่วนมากชื่นชอบอาหารที่ปรุงแบบดั้งเดิม [la cuisine traditionnelle française] ซึ่งเต็มไปด้วยรสชาด [savoureuse (= elle a beaucoup de goût) และ มีปริมาณมาก [copieuse (= abondante)] แต่จะหนักสักนิด [lourde] เพราะการปรุงใ้ช้ ครีมและเนย [on cuisine à la crème et au beurre]
La nouvelle cuisine [ลา นู-แวล(เลอ) กุย-ซีน(เนอ)] (n.f.) : อาหารแบบใหม่
• อาหารที่เรียกว่า " nouvelle cuisine " หรือ อาหารแนวใหม่ จะมีลักษณะเบากว่า [plus légère] อาหารแบบดั้งเดิม เพราะการปรุงส่วนใหญ่ใช้นํ้าหรือการนึ่ง [on cuisine beaucoup à l'eau ou à la vapeur.]
La cuisine exotique [ลา กุย-ซีน(เนอ) เอ็ก-โซ-ติก(เกอ)] (n.f.) : อาหารแดนไกล
• อาหารที่เรียกว่า " la cuisine exotique " (= des pays lointains) เป็นอาหารที่ผสมผสานเครื่องปรุง [ingrédients] และเครื่องเทศ [épices] ที่ไม่ค่อยมีหรือเป็นที่รู้จักกันในฝรั่งเศส อาหารไทยเป็นตัวอย่างหนึ่งของ cuisine exotique สำหรับชาวฝรั่งเศส
La cuisine pour les végétariens [ลา กุย-ซีน(เนอ) ปูร์ เล เว-เช-ตา-เรียง] (n.f.) : อาหารสำหรับผู้ที่เป็นมังสะวิรัติ
• สำหรับผู้ที่เป็นมังสะวิรัต [végétarien] จะไม่รับประทานเนื้อ [viande] แต่จะรับประทานปลา [poisson] และ [oeufs] นอกจากนี้บางคนจะซื้อ ผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ [produits " biologiques " (= naturels)] เพราะไม่อยากบริโภคสิ่งปนเปื้อนหรือสิ่งที่ไม่สะอาด [saletés (= de mauvaises choses ) chimiques.]

วันนี้ในอดีต

28 juillet 1952 : en Argentine, mort d'Eva Peron
Evita Peron, la Première dame d'Argentine décède à 33 ans d'un cancer. Les descamisados (les sans-chemise), les millions de pauvres argentins perdent leur héroïne. Après le coup d'État de juin 1943, Eva Duarte, actrice célèbre, épouse Juan Peron, vice-président d'Argentine. Les talents politiques et le charisme d'Evita sont des atouts précieux pour la dictature de Peron après son élection à la présidence en 1946. Engagée dans la vie politique argentine, Evita contribue à améliorer la santé publique et l'enseignement. Elle accélère l'instauration du droit de vote pour les femmes. Les premières années du régime de Peron soulèvent l'enthousiasme populaire savamment entretenu par la femme du dictateur. A partir de 1949, une grave crise économique fragilise le pouvoir. Juan Peron, en conflit avec l'Église, est excommunié et renversé par un putsch en 1955. Il part en exil en Espagne laissant en héritage un pays économiquement exsangue. En septembre 1973, il est réélu président de l'Argentine et meurt le 1er juillet 1974. Sa troisième femme, Isabelita Peron lui succède jusqu'au coup d'État militaire de mars 1976.

วันเสาร์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

Les Spécialités Régionales

L'Île de France
- Fromage : brie de Meaux
Les pays de la Loire et le Poitou-Charentes
- Spé.: rillettes du Mans - Fromage : port-Salut, sainte-mure - Vins : muscadet, vins d'Anjou, vins de Touraine - Alcool : cognac
La Bretagne
- Spé.: crêpes, far breton (gâteau), artichauts, choux, choux- fleurs - Alcool : cidre
La Normandie
- Spé.: triples à la mode de Caen - Fromage : camembert, pont l'évêque, livarot - Alcool : calvados (alcool de cidre)
Le Massif Central
- Spé.: purée de pomme de terre au fromage et à l'ail, la potée auvergnate. - Fromage : cantal, saint-nectaire, bleu d'Auvergne - Alcool : apéritif à la gentiane
Le Sud-Ouest
- Spé.: foie gras, confits d'oie et de canard, cassoulet de Toulouse, truffes, jambon de Bayonne, poulet basquaise, pruneaux d'Agen, huîtres d'Arcachon - Fromage : roquefort - Vins : bordeaux, cahors, gaillac - Alcool : armagnac
La Provence et la Côte d'Azur
- Spé.: cuisine à l'huile d'olive, ail, herbes de Provence, aïoli, soupe au pistou, olives, anchois, bouillabaisse de Marseille, salade niçoise, ratatouille niçoise. - Vins : rosés de Provence - Alcool : pastis - Fromage : fromage de chèvre
Rhône-Alpes
- Spé.: charcuterie (saucisson), quenelles, fondue savoyarde, tarte aux myrtilles, nougat de Montélimar - Fromage : saint-marcelin, bleu de Bresse, tomme de Savoie - Vins : beaujolais, côtes du Rhône, vin blanc de Savoie - Alcool : liqueur de la Chartreuse
La Bourgogne et la Franche-Comté
- moutarde, pain d'épices, coq au vin, escargots de Bourgogne, saucisse de Morteau - Fromage : gruyère, comté du Jura - Vins : bourgogne, beaujolais - Alcool : liqueur de cassis, kir(liqueur de cassis et vin blanc)
L'Alsace, La Lorraine, La Champagne
- Spé.: choucroute alsacienne, potée lorraine, quiche lorraine, andouillettes de Troyes - Fromage : munster (Alsace) - Vins : vins blancs d'Alsace (sylvaner, gewurztraminer, liesling), champagne - Alcool : rirabelle, kirsch, bière
Le Nord Pas-De-Calais, La Flandre, La Picardie
- Spé.: bière, moules, frites

Rue de Siam



" Rappelle-toi BarbaraIl pleuvait sans cesse sur Brest ce jour-làEt tu marchais sourianteEpanouie ravie ruisselanteSous la pluieRappelle-toi BarbaraIl pleuvait sans cesse sur BrestEt je t'ai croisée rue de Siam… "
Jacques PREVERT " Barbara "
Rue de Siam, célébrée par Prévert, chère au cœur des marins qui l'arpentent, fringants dans leur uniforme, gantés, la tête haute… Mais d'où peut-il bien lui venir, ce nom de Siam à la résonance asiatique, elle qui touche l'extrémité de la Bretagne ? Je vais vous en conter l'histoire. Le 18 juin 1686, les vaisseaux " l'Oiseau " et " la Maligne " amènent à Brest trois ambassadeurs du roi de Siam, accompagnés de six mandarins et d'une nombreuse suite. Les ambassadeurs apportent à Louis XIV de somptueux présents ainsi qu'une lettre du roi de Siam. Louis XIV, qui voulait, en les faisant venir à Paris par terre, rendre plus fastueuse et plus éclatante la mission dont ils étaient chargés, avait envoyé, pour les accompagner, deux gentilshommes de sa chambre. Partout où ils passèrent, les villes ouvraient leurs portes avec un pompeux empressement, partout la foule se pressait pour les voir. Cet événement émerveilla à ce point les Brestois qu'ils débaptisèrent la rue Saint-Pierre qu'empruntèrent les ambassadeurs pour se rendre à l'hôtel du même nom (l'ancienne Préfecture maritime), lui donnant le nom de RUE DE SIAM qu'elle a conservé depuis lors.

วันนี้ในอดีต



26 juillet 1928 : naissance du réalisateur Stanley Kubrick

Journaliste à Look, Stanley Kubrick tourne ses premiers films d'amateur en 16 mm. Il se fait connaître du public en 1957 avec Les Sentiers de la gloire , histoire d'une mutinerie durant la guerre de 1914. En trente et une années d'activité, Kubrick réalise 10 films, récompensés par 8 Oscars et 14 nominations. Réalisateur inspiré et audacieux, Kubrick signe quelques-uns des meilleurs films de l'histoire du cinéma. Personnage secret, voire mystique il met en scène visions fantastiques et fantasmes. Indépendant et perfectionniste, Kubrick s'implique personnellement dans tous les aspects liés à la réalisation et à l'exploitation de ses films.Il réalise : Ultime Razzia (1956), Spartacus (1960), Lolita (1962) d'après le roman de Nabokov, Le Docteur Folamour (1964), Barry Lindon (1975), 2001, Odyssée de l'espace (1968) d'après l'histoire écrite par Arthur C. Clarke, Orange mécanique (1971) basé sur une nouvelle d'Anthony Burgess, The Shinning (1979) d'après une nouvelle de Stephen King, Full Metal Jacket (1987).Stanley Kubrick, l'autocrate provocateur, décède le 7 mars 1999 à son domicile près de Londres, laissant un dernier film "testament" Eyes Wide Shut , histoire d'une obsession sexuelle, interprétée par le couple Kidman/Cruise.


วันศุกร์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

เรื่องเศร้า อ่านแล้วน้ำตาคลอ

อ่านแล้วต้องร้องไห้ "รักครั้งแรกใช่จะผิดหวังเสมอไป มีคนเคยบอกว่า ความรักมีอยู่ 3 แบบ 1. รักเพราะหลง 2. รักเพราะอ่อนไหว 3. รักเพราะเข้าใจ และยังมีคนบอกอีกว่า รักครั้งแรกส่วนมากจะเป็นรักเพราะหลงและมักจะไม่สมหวัง แต่สำหรับผมแล้วรักครั้งแรกเป็นรักที่เป็นความทรงจำที่ดีที่สุดในชีวิตของผม ผมชื่อ แทน เรียนปี 3 อยู่มหาลัยแห่งหนึ่ง ผมต้องทำงานไปเรียนไป เพราะพ่อแม่ผมเสียชีวิตโดยอุบัติเหตุเมื่อปีก่อน ตอนนี้ผมจึงเหมือนอยู่ตัวคนเดียว ตั้งแต่พ่อแม่ผมเสีย ผมก็เงียบมาตลอดไม่ค่อยคุยกับเพื่อนคนไหนเลย ส่วนเธอ เธอชื่อ ซี ......... ซีเป็นลูกคนรวย เรียนปี 3 เหมือนผม และคณะเดียวกับผม โดยความคิดของผมแล้วนั้นลูกคนรวยส่วนมากจะชอบทำตัวเว่อร์แต่สำหรับซี แล้วเธอไม่ใช่ซีเป็นคนเรียบร้อย ร่าเริง เรียนเก่ง แล้วยังเป็นที่รักของเพื่อน ด้วย ซึ่งต่างกับผมราวฟ้ากับดิน ผมแอบมองซีมาตลอดตั้งแต่เข้ามาเรียนปี 1 แต่ตอนนี้ผมคงไม่มีเวลาคิดเรื่องนั้นแล้ว ตั้งแต่พ่อแม่ผมเสีย ผมก้อไม่ค่อยมีเวลาอยู่กับเพื่อนเลย ดังนั้นเลิกฝันถึงซีไปได้เลยครับ เช้าวันนึง เข้าเรียนคาบแรก อาจารย์ให้ทุกคนนำงานที่สั่งมาส่ง ผมไม่รู้เรื่องเลยว่าอาจารย์ สั่่่งงานตอนไหน สงสัยสั่งตอนที่ผมแอบหลับในห้องเรียนมั้ง ผมทำอะไรไม่ถูก แทน? เสียงผู้หญิงเรียกชื่อผม ผมหันไปมอง ซีเป็นคนเรียก ซีพูดต่อว่า ?ซีทำรายงานมาให้ ซีรู้ว่าแทนไม่ได้ทำมา เพราะเมื่อวานแทนหลับในห้องเรียนตอนอาจารย์ สั่งงานพอดี? พอพูดเสร็จซีก้อวางรายงานไว้บนโต๊ะ แล้วก้อเดินกลับไป หลังเลิกเรียน ผมเดินเข้าไปบอก ขอบคุณซี แต่ซีพูดกลับมาว่า ? เปลี่ยนจากคำขอบคุณเป็นข้าวมื้อเที่ยงได้มั้ยค่ะ ? ผมดีใจไม่คิดเลยว่าผมจะมีโอกาสได้นั่งกินข้าวกับซี ผมเลยตอบกลับไปว่า ได้ครับ? หลังจากนั้นเราก้อเดินไปกินข้าวที่โรงอาหารของมหาลัย เธอดูเรียบร้อยมากเวลาทานข้าว พอทานเสร็จ ซีก้อพูดขึ้นมาว่า ?ซีรู้นะ ว่าแทนไม่ค่อยรู้เรื่อง ไม่ค่อยมีเวลาทบทวนเรื่องที่เรียนไป เอาเป็นว่าเวลาแทนว่าง ซีจะติวให้แทนดีมั้ย? ความหวังดีจากหญิงคนนึงที่ผมเคยแอบมองมาตลอดนั้นมันเป็นความรู้สึกที่บอกไม่ถูก หลังจากวันนั้นผมกับซี ก็จะมานั่งติวหนังสือกันทุกวัน จนเรียนจบมหาลัย ผมก็มีบริษัทมารับเข้าทำงาน 2 บริษัท บริษัทแรกทำงานในกรุงเทพ ส่วนอีกบริษัททำงานที่ระยอง ผมปรึกษากับซีว่าจะเลือกบริษัทไหนดี ซีบอกว่า ตามใจแทนเถอะ ชีวิตเป็นของแทนนะ? ผมได้ยินดังนั้นผมก้อไม่ลังเลที่จะเลือกทำบริษัทที่ 2 ถึงผมจะต้องไปทำที่ระยอง แต่มันเป็นอนาคตที่ดีสำหรับผม ผมไปทำงานอยู่ที่ระยอง 1 อาทิตย์ผมจะโทรหาซี 2 -3 ครั้ง 1 เดือนผมจะเข้ากรุงเทพ 1 - 2 ครั้ง เวลาผ่านไป 4 ปี ผมได้ย้ายเข้ามาทำงานในกรุงเทพ เพื่อมารับงานในตำแหน่งผู้จัดการบัญชี พอผมมาถึงกรุงเทพ ทางบริษัทให้ผมลาพักร้อนได้ 1 อาทิตย์ ผมจึงตัดสินใจชวนซีไปเที่ยวเป็นครั้งแรก ผมโทรเข้ามือถือซี ผมชวนเธอไปที่สวนสามพราน เพราะซีชอบดอกไม้ ซีตอบกลับมาว่า ?จริงหรือแทน ซีไม่เคยไปไหนกับใครนอกจากพ่อและแม่เลย แทนจะพาซีไปวันไหนค่ะ? ผมบอกกลับไปว่า ? พรุ่งนี้โอเคมั้ย พาไปเที่ยวเสร็จแล้วซีไปดูคอนโดเป็นเพื่อนแทนหน่อยนะ แทนจะซื้อคอนโดใกล้บ้านซี? ซีตอบมาว่า ?ได้ค่ะ แล้วเจอกันนะค่ะ? เช้าวันรุ่งขึ้นผมไปรับเธอที่บ้าน หลังจากนั้นผมก้อนั่งรถแท็กซี่ไปสวนสามพราน ระหว่างที่ดูดอกไม้นั้นซีดูมีความสุขมาก ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ผมได้สัมผัสมือซี หลังจากที่คุยกันมานานถึง 6 ปี พอบ่ายผมก้อไปดูคอนโดที่อยู่ใกล้บ้านซีที่สุด แล้วก้อเซ็นสัญญาซื้อผ่อนทันที ตกเย็นซีชวนผมไปบ้านของเธอ ซีบอกว่า คุณพ่อของซีอยากเจอแทนค่ะ เลยให้ซีชวนแทนมาทานข้าวที่บ้าน? ผมไม่ปฎิเสธครับ พอไปถึงบ้านนั่งลงที่โต๊ะ คุณพ่อของซีดูเป็นผู้ใหญ่มาก ท่านพูดขึ้นมาว่า ?เธอเองหรือชื่อแทน แล้วซีเล่าให้พ่อฟังอยู่บ่อยๆ ซีบอกกับพ่อว่า เธอเป็นคนขยัน ว่าไงสนใจมาทำงานกับพ่อมั้ย มาทำที่บริษัทพ่อ? ผมอึ้งไม่คิดเลยว่าท่านจะพูดกับผมแบบนี้ ผมรู้สึกดีใจตอนนี้ผมรู้สึกเป็นส่วนนึงในชีวิตของซียังไงไม่รู้ครับ ผมตอบตกลงทันที หลังจากวันที่ผมไปบ้านซี 2 วัน ผมก้อเริ่มงานในบริษัทของพ่อซี ตำแหน่งที่ผมได้เข้ารับคือตำแหน่ง ผู้จัดการฝ่ายบัญชี งานส่วนใหญ่จะใช้สมองซะมากกว่า หลังจากนั้นก้อว่าง วันนึงพ่อของซีก้อเดินมาที่โต๊ะทำงานผมแล้วก้อบอกว่า แทนถ้าว่าง ก้อพาซีไปเที่ยวก้อได้นะ พ่อฝากดูแลซีด้วย? ผมตอบตกลงไป ผมและซีในเวลานี้มีความสุขที่สุด ผมมีเวลาให้ซีมากขึ้น แต่พอผมว่างมากขึ้น ผมก้อพูดกับซีว่า ? ซี.... แทนเบื่อแล้ว แทนอยากทำงาน แต่ไม่ได้หมายความว่าแทนเบื่อซีนะ แทนจะรับงานตรวจสอบบัญชีจากบริษัทอื่นมาทำด้วยนะ ซีเห็นด้วยมั้ย? ซีตอบกลับมาว่า ?ถ้ามันเป็นความต้องการของแทน ซีก้อเห็นด้วย? ผมก้อรับงานจากบริษัทอื่นเข้ามาทำ เวลาว่างที่ผมเคยมีให้ซีก้อค่อยๆ หมดลงไป ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าผมจะต้องพยายามทำงานให้มากเพื่อที่จะเทียบเท่าหรือใกล้เคียงซีมากขึ้น ตอนนี้มันยังไม่ถึงเวลาที่ผมจะบอกว่ารักเธอ แต่ในใจแล้วผมรู้สึกได้อย่างไม่ต้องสงสัยแล้วว่าซีคือคนที่ผมอยากอยู่ด้วย วันนี้เป็นวันเกิดของซี ผมทำงานจนลืมไปเลยว่าวันนี้วันเกิดของเธอ วันรุ่งขึ้นซีโทรมาหาผมแล้วพูดว่า แทนไม่เคยลืมเลยนะ แต่ปีนี้แทนลืม เมื่อวานเป็นวันเกิดของซีนะ? แล้วเธอก้อร้องไห้ ในเวลานั้นผมเครียดเรื่องงานมาก ผมเลยพูดออกไปอย่างไม่คิดว่า ?ไร้สาระน่ะซี แทนต้องทำงานนะ แทนไม่ว่างเหมือนซีนะ? เธอเงียบไปสักพักแล้วซีก้อพูด ?ขอโทษนะแทน ซีไม่อยากทะเลาะกับแทนซีอยากจะใช้เวลาที่เหลืออยู่อย่างมีความสุขโดยมีแทนอยู่เคียงข้างนะ? ผมโกรธที่เธอพูดแบบนี้มาก แต่เงียบไม่ต่อว่าอะไรเธอไป ซีพูดต่ออีกว่า อีก2วันซีจะไปอเมริกากับแม่ ซีอยากให้แทนไปด้วย ซีขออนุญาตคุณพ่อแล้วนะ คุณพ่อบอกว่าให้แทนไปด้วยได้ แทนจะไปกับซีมั้ย? ผมตอบกลับไปว่า ?ช่วงนี้งานยุ่ง ซีไปกับแม่ให้สนุกเถอะ? แล้วซีก้อวางหู ซีเดินทางไปอเมริกากับแม่ 1 เดือน ในเวลาระหว่าง 1 เดือนนี้ ผมไม่ได้ติดต่อกับซีเลย พอซีกลับมากรุงเทพ ผมก้อไม่ได้ไปรับ หลังจากกลับมาจากอเมริกา ผมกับซีก้อห่างเหินกันไม่ค่อยได้เจอกันเลย 1 เดือนจะได้เจอหน้ากันสัก 2 ? 3 ครั้ง ไม่ได้โทรคุยกันเลยเพราะผมงานยุ่งมาก ผมทำงานที่บริษัทพ่อซีมา 3 ปีแล้ว ตอนนี้ผมคิดว่าผมพร้อมทุกอย่างแล้ว มีเงินพอที่จะซื้อบ้าน ซื้อรถ และทุกสิ่งทุกอย่างที่ซื้อได้ด้วยเงิน วันที่14 กุมภาพันธ์ ผมจึงตัดสินใจที่จะขอซีแต่งงาน แล้วคืนก่อนวันที่14 ซีก้อโทรมาหาผมที่บ้าน แทนซีถามอะไรแทนหน่อยได้มั้ย? ผมตอบว่า ?ได้สิ? ซีถามต่อ ?แทนทำไมถึงขยันทำงานขนาดนี้ แทนขยันเพื่อใคร เพื่ออะไร? ผมไม่ตอบกับคำถามของซี แต่พูดกลับไปว่า พรุ่งนี้แทนจะบอก แทนจะตอบทุกคำถามขอซี พรุ่งนี้ซีไปสวนสามพรานกับแทนนะ? ซีตอบมาว่า ?ได้ เช้าวันที่14 กุมภาพันธ์ ผมรีบไปที่เต้นท์ โชว์รูมฮอนด้า ทำสัญญาออกรถป้ายแดง ออกมาแล้วก้อขับไปรับซีที่บ้าน ผมนึกว่าซีจะตกใจที่ผมขับรถไปรับเธอ แต่ไม่เลยเธอดูอ่อนเพลียเหมือนคนไม่สบายหน้าซีด ผมจึงบอกซีว่า ไว้วันหลังก้อได้นะซี? ซีตอบกลับมาว่า ?วันนี้แหละ ซีอยากไปวันนี้ ก่อนขับรถออกจากบ้านซีผมเห็นแม่ซีดูเหมือนจะร้องไห้แต่ก้อไม่ได้คิดอะไร พอมาถึงสวนสามพราน ผมเดินจูงมือซีดูดอกไม้ เดินได้สักพักผมก้อพาซีมานั่งที่ม้านั่งริมสระน้ำ ซีซบไหล่ผมแล้วพูดกลับผมว่า แทน ซีรู้นะว่าแทนรักซี แต่ซีอยากให้แทนบอกซีเองจะได้มั้ย แทนบอกซีด้วยว่า แทนทำไมถึงขยันทำงานขนาดนี้แทนขยันเพื่อใคร เพื่ออะไร? แล้วคราวนี้ผมก้อบอกเธอทุกอย่างว่า ซี.........แทนรักซีนะ ทุกอย่างที่แทนขยัน แทนทำเพื่อซี แทนไม่อยากให้ซีโดนใครดูถูกว่ามาคบกับแทน แล้ววันนี้แทนมีพร้อมทุกอย่างแล้ว วันนี้แทนคิดว่าแทนใกล้เคียงพอที่จะขอซีแต่งงานแล้ว ซีแต่งงานกับแทนนะ" แล้วผมก้อหยิบแหวนแต่งงานที่แอบซื้อไว้หมายจะสวมเข้าที่นิ้วของซี ผมจับมือของซีขึ้น เธอไม่ตอบสนองต่อสิ่งที่ผมทำ ผมจับตัวเธอเขย่า เธอไม่รู้สึกอะไรเลย ผมจึงอุ้มร่างซีขับรถไปที่โรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด แล้วแล้วระหว่างนั้นผมก้อโทรบอกทุกคนที่เกี่ยวข้องกับซี มาถึงโรงพยาบาล หมอรีบพาซีเข้าห้อง ไอซียู ผมไม่รู้เรื่องอะไรเลยถามหมอว่าซีเป็นอะไรหมอก้อไม่ยอมบอก ไม่นานพ่อกับแม่ซีก้อมาถึงโรงพยาบาล ผมถามแม่ซีว่าซีเป็นอะไร แม่ซีบอกกับผมว่า ซีเป็นโรคหัวใจ เป็นมาตั้งแต่เด็กแล้ว? ผมอึ้งทำไมผมมันโง่อย่างนี้ผมไม่เคยรู้อะไรเลย ไม่เคยรู้ว่าซีเป็นโรคหัวใจ ผมนั่งภาวนาอยู่หน้าห้องไอซียูว่าขออย่าให้ซีเป็นอะไรเลย ถ้าซีหายผมจะแต่งงานกับเธอ จะไม่ทิ้งให้เธอเดียวดายอีกต่อไป ซีอยู่ในห้องไอซียูนานถึง 5 ชั่วโมง หมอก้อเดินออกมาจากห้อง ผมรีบวิ่งเข้าไปเขย่าตัวหมอแล้วถามว่า ซีไม่เป็นไรใช่ไหมหมอ? หมอเงียบสักพักแล้วตอบว่า ?ผมเสียใจด้วยนะครับ? ผมได้ยินคำนี้ถึงกับทรุดตัวลง แล้วก้อนั่งร้องไห้ออกมา หลังจากนั้นงานศพของซีของถูกจัดขึ้นท่ามกลางแขกหลายคน รวมทั้งเพื่อนของซีด้วย วันนี้เป็นวันสุดท้าย เป็นวันเผาศพ แม่ซีแทนเข้ามาหาผมแล้วก้อยื่นซองเอกสารสีน้ำตาลให้ผม แล้วพูดว่า ของที่อยู่ข้างในเป็นของที่ซีเขียนจดหมายไว้ให้แม่ บอกให้แม่มอบให้แทน? ผมค่อยๆแกะซองนั้นออกข้างในมีสมุดเล่มเล็กๆ กับม้วนวีดีโออยู่ หลังจากพีธีเผาศพเสร็จผมนั่งอยุ่ด้านหน้าจนแขกในงานกลับไปกันหมด พ่อซีเดินเข้ามาหาผมแล้วพูดกลับผมว่า ซีรักแทนมากนะ? แล้วพ่อก้อเดินกลับไป .. ผมขับรถกลับมาคอนโด ด้วยรอยคล้ำใต้ตา ผมเดินไปหยิบม้วนวีดีโอเทปแล้วนำมันไปเปิด ผมเห็นซีในชุดสีขาวเหมือนชุดในโรงพยาบาลไม่มีผิด ซีพูดว่า ?แทน ....... ถ้าแทนได้ดูม้วนวีดีโอนี้แล้วแสดงว่าซีไม่ได้อยู่แล้วนะ ตอนนี้ซีอยู่ที่โรงพยาบาลในอเมริกา แม่ซีพาซีมาหาหมอเพื่อที่จะผ่าตัดครั้งสุดท้าย ถ้าผ่าตัดครั้งนี้ไม่สำเร็จ หมอบอกว่าซีจะอยู่ได้อีกไม่ถึง 2 ปี แต่ซียอมเสี่ยงเพื่อที่จะได้อยู่กับแทนตลอดชีวิต ซีไม่โกรธแทนนะที่แทนไม่มาอเมริกากับซี แต่แทนอย่าโกรธซีนะที่ซีไม่ได้บอกว่าซีเป็นโรคหัวใจ ซีแค่ไม่อยากให้แทนกลุ้มใจ ซีเห็นแทนพยายามในสิ่งที่แทนต้องการ แค่นี้ซีก้อมีความสุขแล้ว ซีรู้นะว่าแทนพยายามทำเพื่อใคร แทนทำเพื่อซีใช่มั้ย ถ้าคิดไปเองก้อขอโทษนะ ซีอยากให้แทนรู้นะว่าซีรักแทนมาก มากที่สุดด้วย? สัญญาณภาพก้อหายไป น้ำตาขอผมออกมาชำระความโง่เขลาของตัวเอง ทำไมผมไม่เอะใจกับคำพูดของเธอที่ว่า ?ขอโทษนะแทน ซีไม่อยากทะเลาะกับแทนซีอยากจะใช้เวลาที่เหลืออยู่อย่างมีความสุขโดยมีแทนอยู่เคียงข้างนะ? ..ผมน่าจะรู้ว่าเธอไม่สบาย ..ผมน่าจะไปอเมริกากับเธอ ผมนั่งคิดสักพักแล้วก้อหยิบหนังสือขึ้นมาอ่าน ในนั้นเขียนว่า ถึงแทนที่ซีรัก อย่าโทษตัวเองนะที่ไม่มีเวลาให้ซี อย่าโทษตัวเองนะว่าผิด เรื่องนี้ไม่มีใครผิด และก้อไม่มีใครถูก ซีรักแทน แทนก้อรักซี ถึงเรา 2 คนจะไม่พูดแต่ซีก้อรู้สึกนะ ถึงซีจะไม่อยู่แล้ว แต่ซีก้อยังคงอยู่ในใจแทนนะ ซีรักแทนมาก มากเกินกว่าที่จะเขียนลงไปได้ ซีอยากจะบอกกับแทนว่ารักจากปากของซีเอง แต่มันคงไม่มีเวลาแล้ว หลังจากที่ซีไปผ่าตัดแล้วผลออกมาล้มเหลว ซีก้อป่วยมาตลอด ซีไม่ได้โกรธแทนนะ แต่ซีไปหาแทนไม่ไหว ซีไม่อยากจะบอกให้แทนรู้ เพราะแทนกำลังตั้งใจกับงานที่ทำอยู่ สุดท้ายนี้ซีอยากจะบอกกับแทนว่า ซีขอโทษซีอยู่กับแทนได้แค่นี้ระยะเวลา 9 ปีที่ซีอยู่กับแทนถึงมันจะน้อยแต่ซีรู้สึกมีความสุขมากนะ ลาก่อนแทนที่ซีรัก? ผมอ่านจดหมายเสร็จ ผมก้อนั่งร้องไห้และคิดอยู่ตลอดเวลาว่า ตอนนี้ผมมีทุกอย่าง มีทุกสิ่งที่จะซื้อได้ด้วยเงิน แต่ผมกลับซื้อเวลาที่จะอยู่กับซีไม่ได้ แต่ถ้าผมซื้อเวลาคืนมาได้ 1 นาที ผมจะบอกว่าให้ซีรู้ว่า ผมรักเธอมากแค่ไหน 1 ชั่วโมง ผมจะรีบขับรถไปหาเธอแล้วบอกเธอว่าขอโทษที่จำวันเกิดไม่ได้นะที่รัก 1 วัน ผมจะอยู่กับเธอในวันเกิดที่ผมลืม 1 เดือน ผมจะไปดูแลเธอที่อเมริกา และ 1 ปี ผมจะขอเธอแต่งงานและอยู่กับเธอ ถึงแม้จะเป็นเวลาแค่ 1 ปีก้อตาม ในชีวิตของคนๆนึง จะมีสักครั้งมั้ยที่จะได้พบรักแท้ในรักครั้งแรก ชีวิตเราเกิดมาเพื่อใคร และเกิดมาทำไม อย่างน้อยชีวิตของผมที่เกิดมา ก้อได้รู้ว่าเกิดมาเพื่อใครและพยายามเพื่อใคร สำหรับรักครั้งแรกของผมนั้นผมคิดว่าจะเป็นรักครั้งเดียวในชีวิตของผมที่ดีที่สุด ถึงแม้ผมจะไม่ได้บอกกับซีว่า ผมรักซี แต่ตอนนี้ผมจะบอกผ่านโพส.ไปถึงซีว่า ผมรักซีมาก รักตั้งแต่วันแรกที่เจอ ซีคือทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมมีได้ในวันนี้ เพราะฉะนั้นผมจะไม่รักใครอีกนอกจากเธอ? ซีจากผมไป 1 ปี กับ อีก 4 วัน แต่เมื่อวานซีก้อยังทำให้ผมร้องไห้อีกจนได้ครับ เรื่องมันเกิดขึ้นเมื่อวานตอนเย็น ผมกลับมาที่คอนโด เพื่อเปลี่ยนชุดไปงานเลี้ยงของบริษัทที่ผมทำงานอยู่( หรือบริษัทของพ่อซี ) ผมเลือกเสื้อสูทที่จะใส่ไปงาน ในขณะที่ผมเลือกอยู่ผมก้อเหลือบไปเห็นเสื้อสูทสีม่วงผ้ากำมะหยี่ ผมเลยนึกขึ้นได้ว่าเสื้อตัวนี้ ซีเป็นคนซื้อให้ผมก่อนที่เธอจะไปรักษาตัวที่อเมริกา แต่ผมไม่เคยใส่มันเลย เพราะเคยลองใส่ดูแล้วมันดูเหมือนนักสนุ๊กเกอร์ อย่างไรไม่รู้ ผมเลยไม่ชอบ แต่วันนี้ผมคิดถึงซีมาก ผมเลยหยิบสูทตัวนี้ขึ้นมาใส้ พอใส่เสร็จผมมีความรู้สึกว่ามีของอยู่ในกระเป๋า ผมจึงล้วงลงไปหยิบและเอามันขึ้นมาจึงรู้ว่ามันเป็นเทปคาสเซ็ทม้วนหนึ่ง ด้วยความอยากรู้ว่ามันเป็นเพลงอะไรผมจึงตรงไปที่เครื่องเสียงแล้วเปิดมัน เสียงแรกที่ผมได้ยินเป็นเสียงของ ซี เธออัดเสียงของเธอลงในเทป ต่อไปนี้จะเป็นคำพูดที่เธอพูดในเทปนะครับ "สวัสดีค่ะ แทน นั่นแนะ แทนได้ฟังเทปแล้วแสดงว่าแทนแพ้พนันซีแล้วนะ เพราะแทนบอกว่าจะไม่มีวันใส่สูทตัวนี้(เธอหัวเราะเบาๆ) ในที่สุดแทนก้อใส่สูทตัวนี้จนได้เฮ้อ (เธอถอนหายใจ ) ตอนนี้เราจากกันนานหรือยังนะ ขอโทษที่ซีพูดอย่างนี้นะ เพราะซีคิดว่าแทนคงได้ฟังเทปนี้ตอนที่ซีไม่ได้อยู่กับแทนแล้ว แทนคิดถึงซีมั้ย คงคิดถึงล่ะสิ แทนอยากรู้มั้ยว่าตอนนี้ซีอยู่ที่ไหน ถ้าอยากรู้ทำตามที่ซีบอกนะ แทนเปลี่ยนเทปไปฟังที่ต้นหน้า B นะค่ะ " แล้วเสียงซีก้อเงียบลง ผมจึงรีบกรอไปที่ต้นหน้า B แล้วเปิดฟัง " แทนค่ะ แทนทำตามที่ซีบอกนะค่ะ แทนหลับตาลงนะ" แล้วผมก้อได้ยินเสียงคลื่น แล้วก้อมีเสียงเธอพูดขึ้นว่า "แทน ซีว่าเปลือกหอยอันนี้สวยจังเลยนะค่ะ " แล้วเธอก้อพูดขึ้นมาว่า "รู้มั้ยว่าตอนนี้เราอยู่กันที่ไหน" ผมตอบกับตัวเองว่าทำไมจะจำไม่ได้ เพราะเสียงที่ผมได้ยินนั้นมันมาจากม้วนวีดีโอ ที่เราไปถ่ายตอนไปเที่ยวที่พัทยา แล้วเทปที่มีเสียงของซีก้อยังคงเล่นต่อไป ซีเปิดวีดีโอ มีเสียงที่อยู่ตามสถานที่ต่าง ๆ ที่ ผมกับเธอไปเที่ยวกัน เสียงของเธอในเทปก้อพูดขึ้นมาว่า "ตอนนี้แทนรู้ยังค่ะว่าซีอยู่ที่ไหน ซีอยู่ในใจแทนนะ เวลาที่แทนคิดถึงซี แทนก้อเปิดวีดีโอ หรือ รูปถ่ายของเราดูก้อได้นะ และวันนี้ซีก้อจะรักษาสัญญากับแทนอีกเรื่องหนึ่งนะค่ะ แทนจำได้มั้ย แทนเคยร้องเพลงให้ซีฟัง ซียังจำได้นะ แต่จำชื่อไม่ได้ว่าเพลงอะไร แต่จำเนื้อร้องได้ท่อนนึงนะ ท่อนที่ว่า" เส้นทางชีวิตของฉัน ถึงแม้ว่ามันไม่โรยด้วยกลีบดอกไม้ แต่มันเป็นทางที่ฉันเลือกเดินด้วยหัวใจ เส้นทางชีวิตสายนี้จะขอพิสูจด้วยแรงและกำลังใจ " และอะไรต่อจำไม่ได้แล้วค่ะ ร้องได้แค่นี้ค่ะ พอแทนร้องเสร็จ แทนก้อบอกให้ซีร้องให้ฟังบ้างแต่ซีไม่ได้ร้อง แทนเลยโกรธ แต่วันนี้ซีจะร้องให้ฟังนะ แทนฟังให้ดีนะ ซีอาจจะร้องไม่เพราะเท่าไรนะค่ะ ซีจะฝากบทเพลงนี้ไว้แทนใจนะ เมื่อไรที่แทนเหงาแทนจงฟัง เพราะมันจะเป็นบทเพลงสุดท้ายไว้แทนใจ เพราะตอนนี้เราคงต้องห่างไกลกันนะ ซีร้องแล้วนะ (แล้วเธอก้อร้องเพลง ) " วันคืนที่เนิ่นนาน อาจผ่านชีวิตคน อาจเปลี่ยนใจคนให้เวียนหมุนไป ทำเราจากกันนาน ไม่เคยโทษใคร มันเป็นเงื่อนไขของกาลเวลา วันวานของเรา แม้มันไม่คืนกลับมา แต่อยากจะบอกให้เธอรู้ว่า ฉันยังห่วงใย ใจก้อยังคิดถึงเธอ เหมือนแต่ก่อนเป็นมาเสมอ แม้ว่าเธอจากฉันไป ฉันยังเฝ้าดู และอยากจะรู้ความเป็นไป เพราะว่าฉันรักเธอดั่งเดิม เดิม ถึงจะนาน นานเท่าไร ฉันขอพอใจขอเป็นอย่างเดิม ไม่ต้องการจะทนเห็นเธอต้องเหนื่อย ไม่ต้องการจะทนเห็นเธอลำบาก ได้แต่คอยเอาใจช่วยเธอทุกอย่าง อยากให้เธอมีโลกที่สวยงาม รักเธอเสมอ ยังไงซีก้อรักแทนนะค่ะ" สุดท้ายยย ( เสียงของเธอผมรู้สึกได้เลยครับว่าเธอกำลังร้องไห้ เพราะเสียงของเธอสะอื้น ) ซีอยากจะบอกแทนว่า แทนอย่าปิดกั้นตัวเองเพราะซีนะค่ะ ซีอยากให้แทนเจอคนดีดี อย่าจบชีวิตตัวเองโดยไม่ใคร แทนเป็นคนดี แทนต้องได้เจอคนดีดี ซีเชื่อว่าต้องเป็นเช่นนั้น ซีจะไม่โกรธถ้าแทนจะมีใครสักคน แต่ซีจะโกรธถ้าแทน ปิดกั้นชีวิตเพราะซี แทนค่ะ แทนอย่าทำให้ซีต้องเป็นห่วงนะค่ะ แทนสัญญากับซีนะค่ะ ว่าจะไม่ปิดกั้นตัวเอง ถึงซีจะไม่ได้ยิน ซีจะเงียบให้แทนพูดนะค่ะ ....... ไม่มีเสียงจากเทปครับ ผมก้อเลยพูดออกไปตามอารมณ์ แทนสัญญา ผมก้อนึกว่าเทปคงหมดหน้าแล้วจึงเอื้อมไปปิด ผมถึงกลับสะดุ้งและขนลุกทันที ที่ได้ยินเสียงของซีออกมาจากเทปแล้วพูดว่า " ขอบคุณนะค่ะ ถึงซีจะไม่ได้ยินแต่ซีเชื่อว่าแทนคงจะรักษาสัญญากับซีนะค่ะ ว้าเทปหมดแล้วนะค่ะ ซีรักแทนนะค่ะ................." ช่วงเวลาที่ผมได้ยินคำขอบคุณจากเธอ ผมยังรู้สึกว่าเธอยังอยู่ข้าง ๆผมเลย ผมคิดถึงเธอมาก ผมนั่งคิดว่าทำไมซีถึงเข้มแข็งได้ขนาดนี้ ผมนั่งร้องไห้ไปตั้งแต่ได้ยินเสียงคลื่นจากทะเลของวีดีโอแล้ว แต่เสียงเพิ่งมาร้องไห้ตอนร้องเพลงให้ผมฟัง ทำไมเธอถึงพูดได้ขนาดนี้ทั้งๆที่รู้ว่าตัวเองจะต้องตาย ทำไมเธอไม่เคยบ่นว่าทรมานให้ผมฟัง แล้วทำไมเธอยังเป็นห่วงชีวิตผมอีก แล้วอย่างนี้ผมจะลืมเธอได้มั้ย ผมจะเจอคนที่เป็นห่วงและรักผมได้อย่างนี้อีกมั้ย แต่อย่างน้อยผมก้อยังรู้สึกได้ว่าเธอไม่ได้จากผมไปไหนไกล แต่เธอยังอยู่กับผมใกล้ในใจผมเสมอ และแล้วผมก้อไปไม่ทันกล่าวพิธีเปิดงานเลี้ยงจนได้ พ่อของซีโกรธใหญ่เลย อิอิ ท่านถามผมว่าไปทำอะไรมา ผมแอบอมยิ้มแล้วตอบกับท่านว่า "ผมนั่งฟังคนที่ผมรักพูดอยู่ครับ " พ่อซีได้ยินเท่านั้นแหละทำหน้างงเป็นไก่ตาแตกไปเลยครับ อิอิอิอิ สายลมพัดไปแล้วไม่หวนมา เหมือนกับชีวิตคนตายไปแล้วก้อไม่ฟื้นขึ้นมา ขึ้นอยู่กับว่าโลกสำหรับคนที่ตายนั้นมันเป็นอีกโลกนึง แต่โลกสำหรับคนที่อยู่นั้นมันเป็นโลกแห่งความจริง อย่ายึดติดกับสิ่งที่ไม่มีตัวตน และอย่าปิดกั้นในสิ่งที่เรียกว่ารักแท แต่จงยึดมั่นและเก็บความรู้สึกที่ดีไว้ให้กับรักแท้จะดีกว่า มีพบก้อมีจากมันเป็นธรรมดา C love Tan never die and forever but Tan forget me not . Because C will alive in your heart. นั่นคือจดหมายฉบับสุดท้ายที่ซีเขียนให้ผมและแนบไว้ในกล่องใส่เทปคลาสเซ็ท

วันอาทิตย์ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

รวมภาพตุ๊กตาblythe






































ตุ๊กตาblythe




Who’s that Girl ?
Blythe อ่านออกเสียงว่า ‘ Blahyth ‘ หรือ ‘ Blind ‘ (บลายธ์) เธอคือตุ๊กตาวินเทจเจ้าเสน่ห์ที่ถูกออกแบบขึ้นในปี 1972 โดยโรงงานผลิตของเล่นในสหรัฐ ฯ นามว่า Kenner ภายใต้ concept ที่อยากสร้างเอกลักษณ์ ความแตกต่างให้เกิดขึ้นกับตุ๊กตา ดังนั้นโมเดลตุ๊กตาทั้ง 4 แบบ ชื่อ Blythe , Karess , Willow และ Skye จึงถูกคิดค้นขึ้นมา หลังจากนั้น Kenner ได้ว่าจ้างดีไซเนอร์นักออกแบบของเล่นอย่าง Allison Katzman จาก Marvin Glass & Associates หนึ่งในสตูดิโอออกแบบของเล่นที่สำคัญ และมีชื่อเสียงที่สุดในโลกให้ดีไซน์ปลุกปั้นตุ๊กตา Blythe ฉบับออริจินัลขึ้น แล้วนับแต่นั้นมา เด็กๆทั้งหลายก็ได้รู้จักกับของเล่นชิ้นใหม่ชิ้นนี้




Blythe by Kenner
ปี 1972 Blythe ซึ่งออกแบบโดย Alison Katzman ปรากฎตัวขึ้นพร้อมกับทรงผมยอดฮิตในยุค 70s ซึ่งมีให้เลือกทั้งหมด 4 สี 4 แบบ พร้อมด้วยแฟชั่นเครื่องแต่งกายสไตล์วินเทจที่มีให้ Mix & Match กว่า 12 ชุด ส่วนรูปลักษณ์ภายนอกนั้น ถูกออกแบบขึ้นมาอย่างโดนเด่น ด้วยดวงตากลมโตที่สามารภเปลี่ยนสีได้ 4 สีทั้ง เขียว ชมพู ส้ม และน้ำเงิน เพียงแค่ดึงห่วงที่อยู่หลังศีรษะ แต่กลับทำให้มันกลายเป็นตุ๊กตาตัวแรกของโลกที่เด็กๆพากันหวาดกลัว ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ Blythe ไม่เป็นที่นิยม จนมีเหตุให้ต้องปิดตัวลงหลังจากที่ออกวางขายในตลาดได้แค่เพียง 1 ปีเท่านั้น


Gina Garan
30 ปี ต่อมา จากตุ๊กตาเด็กเล่นที่ครั้งหนึ่งคือสินค้าเหลือค้างสต๊อก มาบัดนี้มันกลายเป็นตุ๊กตาหายาก ที่ได้รับความนิยมในหมู่นักสะสมเป็นอย่างมาก เพราะหลังจากที่เพื่อนสนิทของ
Gina Garan (โปรดิวเซอร์สาวชาวอเมริกัน ) ได้มอบตุ๊กตา เป็นของขวัญให้ เธอก็ตกหลุมรักมันเข้าอย่างจัง เริ่มพามันเดินทางไปยังสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆเกือบทุกมุมโลก ขณะเดียวกัน เธอก็เริ่มฝึกถ่ายภาพจากกล้อง SLR โดยมี Blythe เป็นนางแบบให้เธอได้บันทึกภาพความประทับใจเก็บไว้กว่า 100 รูป จนถูกตีพิมพ์เป็นหนังสือรวมภาพถ่ายสุดสวย ( Chronicle Books ) ชื่อ ‘ This is Blythe ‘ รวมถึงหนังสือ Firecracker Alternative Book ที่ขายได้กว่า 100,000 เล่มในปี 2001 พร้อมกับนิทรรศการแสดงภาพถ่าย ที่ทำให้ชื่อของ Gina’s Gallery โด่งดังไปทั่วโลก



วันเสาร์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับฝรั่งเศส

จำนวนประชากร : 58.3 ล้านคน เป็นอันดับที่ 17 ของโลก
ความหนาแน่นของประชากร : 105 คน ต่อตารางกิโลเมตร
พื้นที่ : มีพื้นที่ 551,000 ตารางกิโลเมตร เป็นประเทศที่มีพื้นที่กว้างขวางที่สุดในยุโรป หรือหนึ่งในสี่ของพื้นที่ในประชาคมเศรษฐกิจยุโรป หากมองดูจากแผนที่ประเทศฝรั่งเศสแล้ว จะเห็นว่าเป็นเหมือนรูปหกเหลี่ยม ดังนั้นบางครั้งคนฝรั่งเศสจึงเรียกประเทศของตนว่า L'hexagone ซึ่งแปลว่ารูปหกเหลี่ยม
ธงชาติ ธงไตรรงค์ หรือ Tricolore เป็นธงต้นฉบับของธงชาติที่หลายประเทศนำมาใช้ ซึ่งประกอบด้วย 3 สี คือ แดง น้ำเงิน ขาว เดิมทีธงลาฟาแยต (La Fayette) ซึ่งในขณะนั้นมี 2 สี คือ แดง และ น้ำเงิน อันเป็นสัญลักษณ์ของกองทหารรักษาพระนครในกรุงปารีสได้ก่อการปฏิวัติ ต่อมาในปี 1789 (พ.ศ. 2332) มีการเพิ่มสีขาวอันเป็นสัญญลักษณ์แห่งความภักดีต่อสถาบันกษัตริย์ในพระราชวงศ์บูร์บองส์เข้าไป และได้นำมาใช้เป็นธงชาติมาตราบเท่าทุกวันนี้
เวลา เวลาของฝรั่งเศสจะช้ากว่าที่เมืองไทย 6 ชั่วโมง เวลาทำงานและประกอบกิจการ สำนักงานส่วนใหญ่จะเปิดทุกวัน ยกเว้นวันอาทิตย์และบางแห่งวันจันทร์ ชั่วโมงทำการคือ 9.00 หรือ 10.00 น.-18.30 หรือ 19.00 น. หยุดพักเที่ยงตั้งแต่ 12.00 หรือ 13.00 น.-14.00 หรือ 15.00 น. ร้านค้าทั่วไปจะเปิดร้านประมาณ 9.00-18.00 น. ตั้งแต่วันจันทร์-เสาร์ และมักพักตอนเที่ยง มีร้านค้าจำนวนมากที่จะปิดในช่วงวันจันทร์ และแทบทุกร้านจะไม่เปิดขายสินค้าในวันอาทิตย์โดยเฉพาะช่วงบ่ายเลย ร้านขนมปัง มักจะเปิดกันตั้งแต่ 7.00 น. และหยุดพักตอนเที่ยง หลังจากนั้นจะเปิดอีกครั้งจนถึงเวลาประมาณ 19.00 น. หรือเกินกว่านั้น ส่วนร้านที่ไม่หยุดพักในตอนเที่ยง
ได้แก่ซูเปอร์มาเก็ต ห้างสรรพสินค้า
ช้อปปิ้งนักท่องเที่ยวทั่วไปนิยมซื้อน้ำหอมยี่ห้อที่ฝรั่งเศสเป็นต้นตำรับ ซึ่งราคาจะถูกกว่าที่นำมาขายในต่างประเทศมาก เมืองที่มีชื่อเสียงในการผลิตหัวน้ำหอมกลิ่นต่างๆ ได้แก่เมืองนีส คานส์ ริเวียร่า เป็นต้น ยี่ห้อน้ำหอมที่ขึ้นชื่อที่ฝรั่งเศสเป็นเจ้าตำรับได้แก่ Christian Dior และน้ำหอมของ Caron, Givenchy, Rochas, Guerlain, Paco Rabanne เป็นต้นเสื้อผ้าและสินค้าแฟชั่น ฝรั่งเศสมีชื่อเสียงมากโดยเฉพาะศูนย์รวมของดีไซเนอร์ชื่อดัง และเป็นต้นฉบับของแฟชั่นทั่วโลก

เหตุการณ์ฟาโชดา

เหตุการณ์ฟาโชดา (Fashoda Incident พ.ศ. 2441 - 2442) เป็นกรณีพิพาทระหว่างอังกฤษกับฝรั่งเศสเพื่อแข่งขันกันช่วงชิงลุ่มแม่น้ำไนล์ตอนบนและดินแดนในทวีปแอฟริกาเป็นอาณานิคมของตน เหตุการณ์รุนแรงมากจนถึงขั้นวิกฤติเมื่อฝรั่งเศสเข้ายึดเมืองฟาโชดาได้ก่อนอังกฤษในวันที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2441 แต่ในที่สุด อังกฤษและฝรั่งเศสก็ได้แบ่งปันผลประโยชน์และแก้ไขกรณีพิพาทนี้ได้ด้วยการลงนามในอนุสัญญาเมื่อวันที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2442

เมืองฟาโชดา (เมืองโคดอกในปัจจุบัน) เป็นเมืองเล็กๆในแคว้นซูดาน ที่อยู่ใต้การปกครองของอียิปต์แต่ในนามในขณะนั้น อังกฤษและฝรั่งเศสได้แข่งขันกันขยายอาณานิคมในทวีปแอฟริกาจนสามารถยึดดินแดนต่างๆไว้ได้ เช่น ทางใต้ อังกฤษยึดได้เคปโคโลนี นาทาล โรดีเซีย และยูกันดา และส่งทหารเข้ายึดครองอียิปต์ไว้ตั้งแต่ พ.ศ. 2425 ส่วนฝรั่งเศสยึดดินแดนทางภาคตะวันตกได้ เช่น เซเนกัล และขยายอาณาเขตเข้าไปในแอฟริกาตะวันตกที่ต่อมาเรียกว่าเฟรนช์เวสต์แอฟริกา นอกจากนี้ยังยึดได้ส่วนหนึ่งของแคว้นคองโกที่เรียกว่าเฟรนช์คองโก

ทั้งสองประเทศได้พยายามทุดวิถีทางในการที่จะเข้าควบคุมลุ่มแม่น้ำไนล์ตอนบนและหาหนทางเชื่อมโยงอาณานิคมของตนที่กระจัดกระจายให้ติดต่อกัน เป็นผืนเดียว จุดมุ่งหมายที่สำคัญของอังกฤษคือจะต้องสร้างทางรถไฟจากเคปโคโลนีไปจนถึงกรุงไคโรในอียิปต์ เพื่อเชื่อมโยงแคว้นยูกันดาให้ติดต่อกับอียิปต์ ส่วนฝรั่งเศสก็พยายามขยายตัวจากเซเนกัลผ่านภาคกลางของทวีปแอฟริกาไปจนถึงแคว้นซูดานซึ่งเป็นที่ตั้งของเมืองฟาโชดาและหาทางออกสู่ทะเลแดง นโยบายขยายอำนาจดังกล่าวทำให้กองทัพของทั้งสองประเทศต้องไปเผชิญหน้ากันที่เมืองฟาโชดาในซูดาน

อังกฤษเกรงว่าฝรั่งเศสจะเข้าไปควบคุมแม่น้ำไนล์ตอนบน และทำเขื่อนกั้นแม่น้ำไนล์ซึ่งจะเป็ฯอุปสรรคต่อการชลประทานของอียิปต์ซึ่งอยู่ใต้การยึดครองของอังกฤษในขณะนั้น กองทัพของอังกฤษและฝรั่งเศสจึงเผชิญหน้ากันที่เมืองฟาโชดา ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมถออนทัพออกจากเมือง ฝรั่งเศสอ้างว่าเป็นฝ่ายมีชัยเพราะยึดเมืองฟาโชดาได้ก่อน

ระหว่างนั้น ภายในประเทศฝรั่งเศสกำลังเผชิญปัญหาเหตุการณ์เรื่องเดรย์ฟุส ฝรั่งเศสเกรงว่ากรณีพิพาทดังกล่าวจะขยายตัวเป็นสงครามใหญ่ และไม่แน่ใจว่าในกรณีดังกล่าวรัสเซียซึ่งเป็นพันธมิตรของตนจะให้ความสนับสนุนฝรั่งเศส อนึ่ง ฝรั่งเศสต้องการเอาใจอังกฤษไว้เพื่อให้อังกฤษสนับสนุนฝรั่งเศสในการต่อต้านเยอรมนีซึ่งเป็นศัตรูของตน ในวันที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2441 ฝรั่งเศสจึงถอนทัพออกจากเมืองฟาโชดา ทั้งอังกฤษและฝรั่งเศสก็สามารถแก้ไขกรณีพิพาทดังกล่าวได้โดยสันติ

คำขวัญประจำชาติของสาธารณรัฐฝรั่งเศส


เสรีภาพ เสมอภาค ภราดรภาพ (Liberté, Égalité, Fraternité)

ประวัติ

ในยุคสมัยการปฏิวัติฝรั่งเศสได้เกิดคำขวัญขึ้นมาว่า "เสรีภาพ เสมอภาค ภราดรภาพ หรือความตาย" (Liberté, Égalité, Fraternité, ou la Mort!) แต่หลังจากนั้นในสมัยจักรวรรดิฝรั่งเศสและราชวงศ์บูร์บงฟื้นฟู คำขวัญดังกล่าวก็ได้ถูกลืมหายไปจนกระทั่งปี พ.ศ. 2391 ปีแอร์ เลอรูซ์ได้นำคำขวัญกลับคืนมาใช้อีกครั้งหนึ่ง และนายกเทศมนตรีนครปารีสได้เขียนคำขวัญดังกล่าวบนกำแพงเมือง จนกระทั่งสมัยสาธารณรัฐฝรั่งเศสที่ 3 ที่คำขวัญนี้ได้กลายเป็นคำขวัญอย่างเป็นทางการ
ในระหว่างการบุก
ประเทศฝรั่งเศสของเยอรมนีในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 คำขวัญได้ถูกแทนโดย "งาน ครอบครัว ปิตุภูมิ" (Travail, famille, patrie) โดยฟิลิป เปแตง หัวหน้ารัฐบาลวิชีฝรั่งเศสโดยการสนับสนุนของนาซีเยอรมนี อย่างไรก็ตามคำขวัญใหม่นี้ได้ถูกล้อเลียนเป็น "แสวงโชค อดอยาก ลาดตระเวน" (Trouvailles, famine, patrouilles) ซึ่งเป็นการสะท้อนชีวิตความเป็นอยู่ในสมัยวิชีฝรั่งเศสที่มีความขาดแคลนและความยากลำบากในการดำรงชีวิต
ปัจจุบัน
ประเทศฝรั่งเศสได้ใช้คำขวัญว่า "เสรีภาพ เสมอภาค ภราดรภาพ" (Liberté, Égalité, Fraternité) เป็นคำขวัญประจำชาติซึ่งก็ได้บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญฝรั่งเศสปี 2489 และ 2501


เสรีภาพ (Liberté) คือการเน้นในเสรีภาพของบุคคล หรือ ปัจเจกชนนิยม และได้ขยายไปในเรื่องเสรีภาพในด้านความคิด ความเชื่อทางศาสนา การศึกษาหาความรู้ การพิมพ์และเผยแพร่ข่าวสาร รวมทั้งเสรีภาพในทางการเมือง

เสมอภาค (Égalité) คือความเท่าเทียมกันตามกฎหมายของปัจเจกชน ความเสมอภาค ขึ้นอยู่กับหลักความเที่ยงธรรม ความเท่าเทียมกันในเรื่อง สิทธิและหน้าที่ เช่น ความเท่าเทียมในด้านการเสียภาษี การรับใช้ชาติโดยการเป็นทหาร และสิทธิในการออกเสียงเลือกตั้ง

ภราดรภาพ (Fraternité) คือความเป็นพี่เป็นน้องกัน มนุษย์ทุกคนจะต้องมีความเท่าเทียมกันและปฏิบัติต่อกันดุจพี่น้อง ความเป็นพี่เป็นน้อง เป็นสิ่งที่ธรรมชาติมอบให้มนุษย์ คือ การไม่เน้นผิวพรรณ หรือ เผ่าพันธุ์

วันศุกร์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

Aloha-Spacial_Study




วันนี้....สอบฝรั่งเศสยากสุดๆๆ

แต่ก้อยังดีที่ได้5คะแนนพอดี
<<<<<<< Alohaha ม.5/7 ถ่ายคู่กะอาจารย์ ฮาสุดขีด